“Naturalism” แปลตรงตัวเลยนั่นก็คือ “ธรรมชาตินิยม” เป็นแนวคิดที่เน้นเรื่องพลังงานตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในทุกสรรพสิ่งบนโลกและนอกโลก รวมถึงพลังงานภายในตัวมนุษย์ด้วย
ธรรมชาตินิยม เป็นทฤษฎีเท่านั้น ไม่ใช่ลัทธิ เพราะไม่ได้เชื่อในผู้สร้าง เทพ หรือต้องมีรูปเคารพอะไรใด ๆ
กล่าวคือ “Naturalism” เป็นแนวคิด ทฤษฎี ที่อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบนพื้นฐานแห่งกฏธรรมชาติ ตามทัศนะหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากแนวคิดเดิมของมนุษย์ที่มีการนับถือผี-เทวดา สิ่งเหนือธรรมชาติ และตามทัศนะดังกล่าว มีการชูแก่นของแนวคิดที่ว่า “ธรรมชาติ” คือความจริงสูงสุด ธรรมชาติย่อมอธิบายได้โดยวิถีทางแห่งการเคลื่อนไหวและพลังงาน ยกตัวอย่างแนวคิดที่เห็นภาพมากขึ้นว่า Naturalism ไม่ใช่ลัทธิใด เช่น คำกล่าวที่ว่า “ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติย่อมเกิดขึ้นเพราะมีการเคลื่อนไหวและกระแสคลื่นแห่งไฟฟ้า” การที่ถูกอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ที่เน้นการพิสูจน์ได้เป็นหลัก จึงมีการเรียกหลักการนี้ว่า “ปรัชญาสัจนิยม” (Realism) ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า Naturalism และ Realism เป็นแนวคิดสองชื่อเรียกที่มีหลักการและแนวทางปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ธรรมชาตินิยม- Naturalism เชื่อว่า…
- ทุกสิ่งมีพลังงานในตัว (Self – activating)
- ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง (Self – existent)
- มีทุกอย่างในตัวเอง (Self – contained)
- อาศัยตัวเอง (Self – dependent)
- ปฏิบัติการได้ด้วยตนเอง (Self – operating)
- มีเหตุผลในตัวของมันเอง (Self – explanatory)
จากตอนแรกที่อธิบายบว่า Naturalism เป็นทัศนะที่ไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ (Anti – supernaturalistic) นั่นคือ การเชื่อว่าปรากฏการณ์ทุก ๆ อย่างเป็นไปตามสภาวะความเกี่ยวพันที่มีต่อกันของเหตุการณ์ทางธรรมชาตินั้น ๆ เอง ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจเหนือธรรมชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นกระบวนการธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง เพราะความประจวบเหมาะด้วยสถานที่ รูปการณ์ และเวลา กล่าวคือธรรมชาตินี้มีโครงสร้างของตนเอง และโครงสร้างนั้นเกิดขึ้นได้เอง ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอำนาจเหนือธรรมชาติ
คีย์เวิร์ดที่สำคัญต่อการเข้าใจแนวคิด Naturalism ได้แก่ ความนิยมวิทยาศาสตร์ (Prescientific) แต่นอกจากสิ่งทั้งหลายที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ณ ปัจจุบันแล้ว Naturalism ยังเชื่อในหลักการของพลังงานที่เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดปัญญา (Intuition) อีกด้วย ซึ่งปัญญา ก็สามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้แล้ว ด้วยหลักการทางด้านควอนตัม เป็นต้น
Naturalism เชื่อว่า “จิตใจ”และสภาวะของจิตใจ ล้วนเป็นปรากฏการณ์ของสมอง ถูกควบคุมด้วยกฎกลศาสตร์ ทางฟิสิกส์ ไม่มีอำนาจริเริ่มด้วยเทพใดดลใจ และจิตใจนั้นก็มีเสรีภาพในตัวเอง ซึ่งในบาสงกลุ่มของผู้ที่มีแนวคิดด้าน Naturalism ก็ต่อต้านการมีอยู่ของการนับถือศาสนาและเรื่องลี้ลับ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีกลุ่มที่เห็นประโยชน์ด้านดีของศาสนา และประนีประนอมในการปรับตัวให้เข้ากับคนกลุ่มอื่นที่ยังนับถือศาสนาและเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องอ่อนไหวและซับซ้อน แต่ละบุคคลมีนิยามในด้านของ Naturalism ที่ต่างกันออกไป จึงทำให้คำเรียก คำนิยามทางการ และความเข้าใจในมุมมองของคนภายนอกที่มองต่อชาว Naturalism มีความแตกต่างกัน
การพัฒนา self esteem ควบคู่ไปกับแนวคิด Naturalism
self esteem เป็นศัพท์ที่เกี่ยวกับจิตวิทยา แปลได้ว่าเป็น “การเห็นคุณค่าในตัวเอง” หรือไม่ก็ “การนับถือตนเอง” เป็นเรื่องของทัศนคติที่มีต่อตนเองโดยภาพรวม เป็นสภาวะอารมณ์ภายในจิตใจและมุมมองของคนคนนั้นที่มีต่อตัวเอง
คุณค่าและการนับถือตนเอง คือการสร้างความหมายและนิยามของตนเองที่เป็นส่วนบุคคล มีความเฉพาะตัว และไม่สามารถกำหนดคุณค่าและความนับถือตนเองแทนกันได้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นเห็นอย่างชัดเจน หรือต้องเห็นสอดคล้องเหมือนกับตัวเรา เช่น การมีความแน่วแน่ในความคิดของตัวเอง ชื่นชมตัวเอง และแน่ใจว่าตัวเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร จึงไม่จำเป็นต้องคล้อยตามคนอื่นทุกเรื่อง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังคาบเกี่ยวกับเรื่องทักษะและความสามารถของแต่ละบุคคลด้วย เช่น ผู้ที่มั่นใจในตัวเอง อาจมั่นใจในแง่ที่มาจากความถนัดในทักษะหรือความสามารถด้านใดด้านหนึ่งก็ได้ เช่น ความสามารถในการวาดภาพ การคำนวณ หรือทักษะด้านความแข็งแรงของร่างกาย เป็นต้น
ผู้ที่มี self esteem ใจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ในระดับที่เรียกได้ว่า “มีจุดยืนของตัวเอง” มีอิสระในแนวคิดและการแสดงออก ซึ่งชาว Naturalism มีความชัดเจนในเรื่องนี้ ดังนั้นชาว Naturalism จึงมีจุดแข็งในด้านการรู้จักตนเอง และปรับใช้เพื่อการมีจุดยืนที่สามารถเข้ากลุ่มไปกับสังคมมวลรวมได้ การมี Self-esteem ในระดับที่เพียงพอจะเห็นได้ชัดว่า คนคนนั้นสามารถเคารพความเป็นตัวตนของผู้อื่นได้อย่างสบาย ไม่ฝืนทำ และเป็นธรรมชาติ ดังนั้นจุดเด่นในด้านการพัฒนา self esteem ควบคู่ไปกับการศึกษาแนวคิด Naturalism จึงช่วยให้สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพกับผู้คนรอบข้างได้ ภายใต้พื้นฐานของการรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้ง มีเหตุมีผล เน้นการอธิบายให้เข้าใจ และปล่อยพื้นที่ให้แต่ละคนได้ตกตะกอนทางความคิด และไม่ได้เกิดการครอบงำบงการ ที่ใช้ความกลัวในสิ่งที่อธิบายไม่ได้มาเป็นเครื่องมือนั่นเอง
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเกริ่นนำให้เข้าใจความเชื่อมโยงในเบื้องต้นเท่านั้น หากแต่แก่นสำคัญของ Naturalism ที่นำไปใช้พัฒนา Self esteem ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ยังไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างเจาะลึกในบทความนี้ จึงอยากให้ทุกคนได้ติดตามบทความอื่น ๆ ในเว็บไซต์และกลุ่มของเรา เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาตนเองต่อไป