จักระและการรู้จักธรรมชาติของตัวเอง

การรู้จักและเข้าใจตนเอง มีข้อดีคือ การรู้ว่าตนเป็นอย่างไรมีจุดเด่นจุดด้อยอะไร และเมื่อกาย หรือใจ ไม่สบาย ก็สามารถรู้ทันและเยียวยาตนเองได้ นอกจากนั้นเมื่อเรารู้จักและ เข้าใจตนเองแล้วย่อมทำให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้และเข้าใจยอมรับผู้อื่นได้เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีในทุกมิติของชีวิต ดังนั้น การทำความรู้จักจักระภายในจึงเป็นหลักการง่าย ๆ ที่ใช้อย่างแพร่หลายในการทำความรู้จักทั้งร่างกาย

จักระ (Chakra) ในภาษาสันสกฤตหมายถึง “วงล้อ” หรือ “การหมุน” เป็นแนวคิดในปรัชญาตะวันออกที่เชื่อว่าเป็นศูนย์กลางพลังงานภายในร่างกายของมนุษย์ จักระเหล่านี้เชื่อมโยงกับอวัยวะ ระบบประสาท และต่อมไร้ท่อ โดยแต่ละจักระจะสอดคล้องกับอวัยวะบางส่วน อารมณ์ และความสามารถเฉพาะตัว การทำความเข้าใจและปรับสมดุลจักระจึงเป็นการเดินทางสู่การรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้งและการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ

มนุษย์ทุกคน มีจักระอยู่ 7 จุด ซึ่งมีสี และความหมาย ดังต่อไปนี้

  1. จักระราก เรียกว่า มูลาธาระจักระ (Root Chakra): ตั้งอยู่ที่ฐานกระดูกสันหลัง มีสีแดง สื่อถึงความมั่นคง รากฐาน และความเชื่อมโยงกับโลกวัตถุ
  2. จักระเพศ เรียกว่า สวาธิษฐานจักระ (Sacral Chakra): อยู่ที่บริเวณท้องน้อย มีสีส้ม เกี่ยวข้องกับความรู้สึกทางเพศ ความสร้างสรรค์ และอารมณ์
  3. จักระท้อง มณีปุระจักระ (Solar Plexus Chakra): อยู่ที่บริเวณท้อง มีสีเหลือง สื่อถึงพลัง อำนาจ ความมั่นใจ และการควบคุมตนเอง
  4. จักระหัวใจ เรียกว่า อานาฮาตะจักระ (Heart Chakra): อยู่ที่กลางอก มีสีเขียว สื่อถึงความรัก ความเมตตา การให้อภัย และการเชื่อมโยงกับผู้อื่น
  5. จักระคอ เรียกว่า วิศุทธิจักระ (Throat Chakra): อยู่ที่ลำคอ มีสีฟ้า สื่อถึงการสื่อสาร การแสดงออก และความจริงใจ
  6. จักระตาที่สาม เรียกว่า อัชญาจักระ (Third Eye Chakra): อยู่ระหว่างคิ้ว มีสีม่วง สื่อถึงปัญญา สัญชาตญาณ และการรับรู้ภายใน
  7. จักระมงกุฎ เรียกว่า สะหัสราจาระ (Crown Chakra): อยู่ที่ยอดศีรษะ มีสีขาวหรือม่วงอ่อน สื่อถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล การตรัสรู้ และจิตวิญญาณ

เมื่อจักระเกิดความไม่สมดุล อาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางร่างกาย อารมณ์ และสภาพจิตใจ เช่น ปวดเมื่อย ป่วยง่าย อารมณ์แปรปรวน กังวล หดหู่ หรือขาดความมั่นใจ การปรับสมดุลจักระจึงเป็นวิธีหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ การปรับสมดุลจักระจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการใช้ชีวิตโดยรวม อันครอบคลุมถึงสุขภาพ ความสัมพันธ์ ความก้าวหน้าในอาชีพการงาน และความสำเร็จในระยะยาว เมื่อจักระทั้ง 7 ขาดสมดุลไป สามารถฟื้นฟูได้ด้ยการปรับสมดุลของจักระหลาย ๆ จุดไปพร้อมกัน โดยมีวิธีเบื้องต้นที่ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

วิธีการปรับสมดุลจักระ

  • การฝึกสมาธิ ช่วยให้จิตใจสงบและเชื่อมต่อกับพลังงานภายใน
  • การออกกำลังกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังงาน
  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงร่างกาย และส่งเสริมการทำงานของจักระโดยตรง
  • การใช้คริสตัล เชื่อว่ามีพลังงานที่สอดคล้องกับจักระบางชนิด สามารถเสริมการทำงานจักระได้
  • การทำโยคะ ช่วยเปิดช่องพลังงาน
  • การฟังเสียงบำบัด เช่น เสียงร้องของนก เสียงคลื่น หรือเสียงดนตรี ช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย

 

การเชื่อมต่อกับธรรมชาติ

จักระเป็นสะพานเชื่อมระหว่างร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ การปรับสมดุลจักระจึงเป็นการเชื่อมต่อกับธรรมชาติและจักรวาลอันยิ่งใหญ่ การใช้เวลาอยู่ในธรรมชาติ การสัมผัสแสงแดด ลม และน้ำ ช่วยให้เราได้รับพลังงานจากธรรมชาติและส่งเสริมการรักษาสมดุลของจักระ

จักระเป็นแนวคิดที่น่าสนใจและมีประโยชน์ในการเข้าใจตนเองและพัฒนาตนเอง การศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับจักระไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้เราค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเรา และเชื่อมต่อกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา

การทำความเข้าใจและปรับสมดุลจักระ นอกจากจะช่วยให้เรารู้จักตัวเองได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นแล้ว ยังนำมาซึ่งประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ดังนี้

  1. การพัฒนาตนเอง

การเชื่อมโยงอารมณ์กับจักระ ทำให้เราเข้าใจที่มาของความรู้สึกต่างๆ ได้ดีขึ้น และสามารถจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมเมื่อจักระที่เกี่ยวข้องกับความมั่นใจสมดุล เราจะรู้สึกมั่นคงในตัวเอง และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น

  1. การรักษาสุขภาพ

การทำสมาธิเพื่อปรับสมดุลจักระ ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล เมื่อจักระสมดุล ร่างกายและจิตใจจะผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น พลังงานที่ไหลเวียนอย่างสมดุล ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ตลอดจนอาจช่วยบรรเทาอาการป่วยบางอย่าง เช่น ปวดหัว ปวดท้อง หรืออาการปวดเรื้อรังบางอย่างได้

  1. การพัฒนาจิตวิญญาณ

การทำสมาธิเพื่อเข้าถึงจักระ ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับจิตใต้สำนึกและค้นพบความจริงภายใน จักระที่เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณ เมื่อสมดุล จะช่วยให้เรามีสัญชาตญาณที่แม่นยำมากขึ้น การเชื่อมต่อกับจักระมงกุฎ ทำให้เราตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

แม้ว่าแนวคิดเรื่องจักระจะมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและปรัชญาตะวันออกมาอย่างยาวนาน แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันการมีอยู่ของจักระอย่างชัดเจน อีกทั้งการศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับจักระ ควรเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเอง ไม่ใช่การหาคำตอบหรือความเชื่อที่ตายตัว หากแต่การรับด้านที่ดีของหลักการนี้มาพัฒนาตนเอง โดยที่ไม่ทำร้ายใคร ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ในทางสุขภาพและจิตใจเป็นอย่างยิ่ง

การฮีลลิ่งแบบ Naturalism โดยอิงตามธาตุประจำร่างกาย

การฮีลลิ่ง Healing เป็นการบำบัดร่างกายที่เน้นด้านสุขภาพ หากปฏิบัติคู่กับแนวทางของ Naturalism ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่เน้นการใช้ธรรมชาติ โดยเน้นการปรับสมดุลของร่างกายตามธาตุประจำตัว ตามแนวคิดที่มีรากฐานมาจากการแพทย์แผนไทย, การแพทย์แบบอินเดีย หรือที่เรียกว่าอายุรเวท จะทำให้ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ

โดยการแพทย์แผนไทย เชื่อว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ (อายุรเวทอินเดียมีเพิ่มเติมเป็น ธาตุที่ 5 คือ อากาศธาตุ) เพื่อง่ายต่อการจำแนก และความคุ้นเคยของคนไทย ขอกล่าวในหลักการแพทย์แผนไทย มา ณ ที่นี้ โดยการรักษาและการดูแลสุขภาพด้วยการปรับสมดุลของธาตุมีหลักการเบื้องต้น ดังนี้

การดูธาตุประจำร่างกายแบบเดือนเกิด

  • ธาตุดิน: ผู้ที่เกิดในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม 
  • ธาตุน้ำ: ผู้ที่เกิดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 
  • ธาตุลม: ผู้ที่เกิดในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน 
  • ธาตุไฟ: ผู้ที่เกิดในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม 

การปรับสมดุลธาตุด้วยการบำบัดแบบ Naturalism

การปรับสมดุลธาตุในร่างกายสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเลือกกินอาหารที่เหมาะสมกับธาตุ การออกกำลังกาย การทำสมาธิ และการใช้สมุนไพร แนวคิด Naturalism เชื่อว่าการเยียวยาตนเองโดยเชื่อมโยงกับศาสตร์ที่เอาธรรมชาติเป็นที่ตั้งจะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวและบริบูรณ์ เราสามารถนำหลักการทั้ง 4 อย่างที่กล่าวมาข้างต้นมาปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้

  • การกินอาหารเป็นยา

อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยธาตุที่แตกต่างกัน เช่น ผักใบเขียวมีธาตุน้ำสูง ข้าวกล้องมีธาตุดินสูง เนื้อสัตว์มีธาตุไฟสูง เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ธาตุในอาหารจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปรับสมดุลธาตุในร่างกาย หากร่างกายขาดธาตุใดธาตุหนึ่ง การรับประทานอาหารที่มีธาตุนั้นเป็นส่วนประกอบหลัก จะช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกายได้

การเลือกอาหารเพื่อปรับสมดุลธาตุ

  • ธาตุดินไม่สมดุล: อาจมีอาการท้องผูก ปากแห้ง ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุดินสูง เช่น ข้าวกล้อง ผักราก
  • ธาตุน้ำไม่สมดุล: อาจมีอาการบวม น้ำหนักตัวเพิ่ม ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุน้ำสูง เช่น ผักใบเขียว ซุป
  • ธาตุไฟไม่สมดุล: อาจมีอาการร้อนใน แผลในปาก ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุน้ำสูง เช่น ผักใบเขียว
  • ธาตุลมไม่สมดุล: อาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ควรรับประทานอาหารที่มีรสหวานและเค็ม
  • การเลือกประเภทของการออกกำลังกายที่เข้ากับตัวเอง

ธาตุดิน: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นความแข็งแรง เช่น โยคะ ปั่นจักรยาน หรือยกน้ำหนักเบาๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและกระดูก

ธาตุน้ำ: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นความยืดหยุ่น เช่น โยคะ ปีกกา หรือการว่ายน้ำ เพื่อช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและลดความตึงเครียด

ธาตุไฟ: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นการเผาผลาญ เช่น การวิ่ง การเต้นแอโรบิก หรือการฝึกความแข็งแรง เพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น

ธาตุลม: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นการควบคุมลมหายใจ เช่น ไทเก๊ก หรือการทำสมาธิ เพื่อช่วยให้จิตใจสงบและควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น

  1. การทำสมาธิ ช่วยได้ทุกธาตุ ไม่ว่าจะทำแบบไหนก็ตาม โดยแต่ละธาตุอาจมีวิธีการเริ่มต้นไม่เหมือนกัน 

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุดิน: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นความรู้สึกถึงร่างกาย เช่น การนั่งสมาธิแบบวิปัสสนา หรือการทำสมาธิโดยการกำหนดรู้ลมหายใจ การสัมผัสกับพื้นดิน หรือการนั่งสมาธิในธรรมชาติ จะช่วยให้คนธาตุดินรู้สึกเชื่อมโยงกับโลกภายนอกและสงบลง

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุน้ำ: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นความรู้สึกนึกคิด เช่น การทำสมาธิแบบเมตตา การทำสมาธิโดยการจินตนาการถึงภาพที่สวยงาม หรือการฟังเสียงธรรมชาติ จะช่วยให้คนธาตุน้ำรู้สึกผ่อนคลายและปล่อยวางความคิดที่วนเวียนอยู่

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุไฟ: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นการเคลื่อนไหว เช่น ไทเก๊ก หรือการทำสมาธิแบบเดินจงกรม การทำสมาธิที่เน้นการเคลื่อนไหวจะช่วยให้คนธาตุไฟระบายพลังงานส่วนเกินและสงบจิตใจได้

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุลม: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นการจินตนาการ เช่น การทำสมาธิแบบทิเบต หรือการทำสมาธิโดยการ визуализировать (visualize) การทำสมาธิแบบนี้จะช่วยให้คนธาตุลมได้ปล่อยจินตนาการและสงบจิตใจได้

2. การเลือกใช้สมุนไพรที่เหมาะสมกับธาตุประจำตัว (จะให้ดีที่สุดต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของเภสัชกร ซึ่งมีทั้งเภสัชกรในแบบการแพทย์ทางตรงและการแพทย์ทางเลือก)

ธาตุดิน: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสหวาน ช่วยบำรุงธาตุดิน เช่น เห็ดหลินจือ เก๋ากี้ โสม

ธาตุน้ำ: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเค็ม ช่วยบำรุงธาตุน้ำ เช่น หญ้าหวาน ใบเตย

ธาตุไฟ: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว ช่วยดับไฟในร่างกาย เช่น มะขามป้อม มะยม

ธาตุลม: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเผ็ด ช่วยขับลมในลำไส้ เช่น ขิง ตะไคร้

สมุนไพรแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน การเลือกสมุนไพรที่ตรงกับธาตุที่ขาดจะช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกาย เมื่อสมุนไพรเข้ากับธาตุของเรา จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสรรพคุณของสมุนไพรได้ดีขึ้น และควรระวังไว้เสมอว่า การเลือกสมุนไพรที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ คนที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ควรระวังเป็นพิเศษ

ด้วยความเชื่อ ปรัชญา และแนวทางการดำเนินชีวิตของชาว Naturalist หรือปรัชญาแนว Naturalism ที่เน้นการอยู่กับธรรมชาติของตัวเองให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติภายนอกอยู่แล้ว จึงไม่ยากเลยที่จะนำหลักการดี ๆ อย่างการปรับพฤติกรรมตามธาตุประจำตัวไปใช้ นอกจากจะส่งเสริมให้สุขภาพดีแล้ว การศึกษาหลักการแพทย์แผนไทย อินเดีย หรือการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ ที่ลึกซึ้งขึ้น มีความเป็นวิทยาศาสตร์สุขภาพมากขึ้น จะทำให้องค์ความรู้และปรัชญาที่ผสมผสานได้ถูกยอมรับและถ่ายทอดไปในวงกว้างได้อีกด้วย

เพิ่ม Self esteem ตามแนวทางชาว Naturalism

“Naturalism” แปลตรงตัวเลยนั่นก็คือ “ธรรมชาตินิยม” เป็นแนวคิดที่เน้นเรื่องพลังงานตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในทุกสรรพสิ่งบนโลกและนอกโลก รวมถึงพลังงานภายในตัวมนุษย์ด้วย

ธรรมชาตินิยม เป็นทฤษฎีเท่านั้น ไม่ใช่ลัทธิ เพราะไม่ได้เชื่อในผู้สร้าง เทพ หรือต้องมีรูปเคารพอะไรใด ๆ

กล่าวคือ “Naturalism” เป็นแนวคิด ทฤษฎี ที่อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบนพื้นฐานแห่งกฏธรรมชาติ ตามทัศนะหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากแนวคิดเดิมของมนุษย์ที่มีการนับถือผี-เทวดา สิ่งเหนือธรรมชาติ และตามทัศนะดังกล่าว มีการชูแก่นของแนวคิดที่ว่า “ธรรมชาติ” คือความจริงสูงสุด ธรรมชาติย่อมอธิบายได้โดยวิถีทางแห่งการเคลื่อนไหวและพลังงาน ยกตัวอย่างแนวคิดที่เห็นภาพมากขึ้นว่า Naturalism ไม่ใช่ลัทธิใด เช่น คำกล่าวที่ว่า “ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติย่อมเกิดขึ้นเพราะมีการเคลื่อนไหวและกระแสคลื่นแห่งไฟฟ้า” การที่ถูกอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ที่เน้นการพิสูจน์ได้เป็นหลัก จึงมีการเรียกหลักการนี้ว่า “ปรัชญาสัจนิยม” (Realism) ด้วยเช่นกัน 

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า Naturalism และ Realism เป็นแนวคิดสองชื่อเรียกที่มีหลักการและแนวทางปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ธรรมชาตินิยม- Naturalism เชื่อว่า…

  • ทุกสิ่งมีพลังงานในตัว (Self – activating) 
  • ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง (Self – existent) 
  • มีทุกอย่างในตัวเอง (Self – contained) 
  • อาศัยตัวเอง (Self – dependent) 
  • ปฏิบัติการได้ด้วยตนเอง (Self – operating) 
  • มีเหตุผลในตัวของมันเอง (Self – explanatory)

จากตอนแรกที่อธิบายบว่า Naturalism เป็นทัศนะที่ไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ (Anti – supernaturalistic) นั่นคือ การเชื่อว่าปรากฏการณ์ทุก ๆ อย่างเป็นไปตามสภาวะความเกี่ยวพันที่มีต่อกันของเหตุการณ์ทางธรรมชาตินั้น ๆ เอง ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจเหนือธรรมชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นกระบวนการธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง เพราะความประจวบเหมาะด้วยสถานที่ รูปการณ์ และเวลา กล่าวคือธรรมชาตินี้มีโครงสร้างของตนเอง และโครงสร้างนั้นเกิดขึ้นได้เอง ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอำนาจเหนือธรรมชาติ

คีย์เวิร์ดที่สำคัญต่อการเข้าใจแนวคิด Naturalism ได้แก่ ความนิยมวิทยาศาสตร์ (Prescientific) แต่นอกจากสิ่งทั้งหลายที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ณ ปัจจุบันแล้ว Naturalism ยังเชื่อในหลักการของพลังงานที่เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดปัญญา (Intuition) อีกด้วย ซึ่งปัญญา ก็สามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้แล้ว ด้วยหลักการทางด้านควอนตัม เป็นต้น

Naturalism เชื่อว่า “จิตใจ”และสภาวะของจิตใจ ล้วนเป็นปรากฏการณ์ของสมอง ถูกควบคุมด้วยกฎกลศาสตร์ ทางฟิสิกส์ ไม่มีอำนาจริเริ่มด้วยเทพใดดลใจ และจิตใจนั้นก็มีเสรีภาพในตัวเอง ซึ่งในบาสงกลุ่มของผู้ที่มีแนวคิดด้าน Naturalism ก็ต่อต้านการมีอยู่ของการนับถือศาสนาและเรื่องลี้ลับ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีกลุ่มที่เห็นประโยชน์ด้านดีของศาสนา และประนีประนอมในการปรับตัวให้เข้ากับคนกลุ่มอื่นที่ยังนับถือศาสนาและเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องอ่อนไหวและซับซ้อน แต่ละบุคคลมีนิยามในด้านของ Naturalism ที่ต่างกันออกไป จึงทำให้คำเรียก คำนิยามทางการ และความเข้าใจในมุมมองของคนภายนอกที่มองต่อชาว Naturalism มีความแตกต่างกัน

การพัฒนา self esteem ควบคู่ไปกับแนวคิด Naturalism

 self esteem เป็นศัพท์ที่เกี่ยวกับจิตวิทยา แปลได้ว่าเป็น “การเห็นคุณค่าในตัวเอง” หรือไม่ก็ “การนับถือตนเอง” เป็นเรื่องของทัศนคติที่มีต่อตนเองโดยภาพรวม เป็นสภาวะอารมณ์ภายในจิตใจและมุมมองของคนคนนั้นที่มีต่อตัวเอง 

คุณค่าและการนับถือตนเอง คือการสร้างความหมายและนิยามของตนเองที่เป็นส่วนบุคคล มีความเฉพาะตัว และไม่สามารถกำหนดคุณค่าและความนับถือตนเองแทนกันได้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นเห็นอย่างชัดเจน หรือต้องเห็นสอดคล้องเหมือนกับตัวเรา เช่น การมีความแน่วแน่ในความคิดของตัวเอง ชื่นชมตัวเอง และแน่ใจว่าตัวเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร จึงไม่จำเป็นต้องคล้อยตามคนอื่นทุกเรื่อง เป็นต้น

นอกจากนี้ยังคาบเกี่ยวกับเรื่องทักษะและความสามารถของแต่ละบุคคลด้วย  เช่น ผู้ที่มั่นใจในตัวเอง อาจมั่นใจในแง่ที่มาจากความถนัดในทักษะหรือความสามารถด้านใดด้านหนึ่งก็ได้ เช่น ความสามารถในการวาดภาพ การคำนวณ หรือทักษะด้านความแข็งแรงของร่างกาย เป็นต้น

ผู้ที่มี self esteem ใจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ในระดับที่เรียกได้ว่า “มีจุดยืนของตัวเอง” มีอิสระในแนวคิดและการแสดงออก ซึ่งชาว Naturalism มีความชัดเจนในเรื่องนี้ ดังนั้นชาว Naturalism จึงมีจุดแข็งในด้านการรู้จักตนเอง และปรับใช้เพื่อการมีจุดยืนที่สามารถเข้ากลุ่มไปกับสังคมมวลรวมได้ การมี Self-esteem ในระดับที่เพียงพอจะเห็นได้ชัดว่า คนคนนั้นสามารถเคารพความเป็นตัวตนของผู้อื่นได้อย่างสบาย ไม่ฝืนทำ และเป็นธรรมชาติ ดังนั้นจุดเด่นในด้านการพัฒนา self esteem ควบคู่ไปกับการศึกษาแนวคิด Naturalism จึงช่วยให้สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพกับผู้คนรอบข้างได้ ภายใต้พื้นฐานของการรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้ง มีเหตุมีผล เน้นการอธิบายให้เข้าใจ และปล่อยพื้นที่ให้แต่ละคนได้ตกตะกอนทางความคิด และไม่ได้เกิดการครอบงำบงการ ที่ใช้ความกลัวในสิ่งที่อธิบายไม่ได้มาเป็นเครื่องมือนั่นเอง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเกริ่นนำให้เข้าใจความเชื่อมโยงในเบื้องต้นเท่านั้น หากแต่แก่นสำคัญของ Naturalism ที่นำไปใช้พัฒนา Self esteem ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ยังไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างเจาะลึกในบทความนี้ จึงอยากให้ทุกคนได้ติดตามบทความอื่น ๆ ในเว็บไซต์และกลุ่มของเรา เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาตนเองต่อไป

Human design ศาสตร์ที่มาแรงด้านการรู้จักตนเอง

มนุษย์ทุกคนขับเคลื่อนชีวิตด้วยความกลัว และความกลัวทำให้เราต่างก็ต้องกระเสือกกระสนในการพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อเอาชีวิตรอด! แต่ในแก่นของการพัฒนาจิตวิญญาณ ต่างก็กล่าวว่า “มนุษย์ควรอยู่เหนือจุดที่ใช้ความกลัวมาขับเคลื่อนชีวิต จึงจะเกิดการพัฒนาที่ก้าวกระโดด และได้รับความโชคดี” 

วิทยาศาสตร์ควอนตัม และพลังงาน ก็เช่นกัน

หากใครที่ศึกษากฎแห่งแรงดึงดูด กฎการสั่นสะเทือน หรือกฎแห่งจักรวาลทั้งหลายมาแล้วบ้าง ก็จะพอเข้าใจ และพอจะเดาได้ว่า กฎแห่งจักรวาลเหล่านี้ สามารถนำมาใช้เชื่อมโยงกับแนวคิดมนุษย์นิยม (Naturalism) ได้อย่างประสานสอดคล้องกัน 

ด้วยความที่แนวคิด Naturalism ที่ยึดหลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นแก่นหลัก ดังนั้น หลักฟิสิกส์ควอนตัมจึงเป็นหัวใจสำคัญในการศึกษาเรื่องนี้ ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับควอนตัมก็ได้กล่าวถึง “พลังงาน” และ “คลื่นความถี่” พร้อมกับการเชื่อมโยงอย่างมีเหตุมีผลเข้ากับประสิทธิภาพของสมองและจิตใจของมนุษย์

องค์ประกอบของศาสตร์ที่ว่าด้วยธรรมชาติของมนุษย์

ศาสตร์ที่เรียกว่า Human design ก็มีกลิ่นอายของมนุษย์นิยมเช่นกัน และยังเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยพลังงาน เป็นหลัก มีหลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายถึงเบื้องหลังของการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานโลก จักรวาล และมนุษย์ การใช้ Human design เพื่อพัฒนาตนเองจึงสอดคล้องกับหลักการ Naturalism ไปด้วยในตัว จึงถือได้ว่า  Human design เป็นองค์ประกอบหลักของธรรมชาตินิยมและสัจนิยม

ในบทความนี้เราจะยังไม่ลงลึกมากนัก ถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อน อีกทั้งหลักปรัชญาทางจิตวิญญาณที่ต้องทำความเข้าใจเป็นเวลานานในการตกตะกอนทางความคิด ความเชื่อ ก็จะไม่ได้ถูกกล่าวถึงเช่นกัน แต่เราจะกล่าวแค่เพียงเพื่อให้ทุกคนที่อ่าน ได้รับรู้และทำความรู้จักกับ Human design และประโยชน์ของสิ่งนี้ในเบื้องต้นเท่านั้น

กล่าวคือ จุดประสงค์หลักของบทความนี้ เพียงเพื่อให้ได้ผู้อ่านได้ลิ้มรสความลึกลับน่าค้นหาของศาสตร์ Human design และสร้างความเชื่อมโยงของการนำไปใช้ให้มีประสิทธิภาพนั่นเอง

เมื่อกล่าวถึงศาสตร์ Human design หลายคนอาจรู้จักมาบ้างแล้ว ในทางที่เกี่ยวกับศาสตร์แห่งการทำนาย โหราศาสตร์ และการอ่านไพ่ แต่ ณ ที่นี้ อยากให้หลายคนได้มีการเชื่อมโยงแนวคิดเข้ากับ Naturalism ในแง่ของการฟื้นฟูพลังงาน ศึกษาแก่นพลังงานของตนเอง และนำไปสู่การรู้จักตนเองอย่างทะลุปรุโปร่งในที่สุด

สิ่งที่อยากแนะนำให้รู้จักถึง Human design ในเบื้องต้น มีดังต่อไปนี้…

Human Design เป็นศาสตร์สมัยใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม ทั้งในฟากตะวันตกและรวมถึงประเทศไทย ก็นับว่าเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียเช่นกัน 

Human design เป็นศาสตร์ที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง เพื่อพัฒนาทั้งชีวิตทางกายภาพและจิตใจ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการค้นพบ “พิมพ์เขียว” ด้านพลังงานเฉพาะบุคคล ที่มาของศาสตร์นี้ มาจากการผสมผสานองค์ประกอบของโหราศาสตร์ 4 ศาสตร์เข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นให้แต่ละปัจเจกบุคคลได้เข้าถึงลักษณะภายนอก ภายใน จุดแข็ง และข้อจำกัดของตัวเองอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เริ่มแรกอยากกล่าวถึงการแบ่งประเภทมนุษย์แบบคร่าว ๆ ตามพลังงานของแต่ละคนก่อนเลย ซึ่งขอบอกขยายความอีกนิดหน่อยว่า ศาสตร์นี้มีการแบ่งประเภทของมนุษย์ในแบบที่หลากหลายและครอบคลุมกว่านี้มาก ซึ่งที่ยกตัวอย่างมานี้ถือว่าเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น 

ขยายความด้านที่มาที่ไปของศาสตร์นี้ ให้รู้สึกขลังมากขึ้น

Human Design Chart มีชื่ออื่นว่า “BodyGraph” เป็นเครื่องมือที่กล่าวได้ว่าเป็นการรวมกันของโหราศาสตร์ ไอจิง (I Ching) คาบาลา (Kabbalah) และรูปแบบของจักระศีรษะของฮินดู-พราหมณ์ (Hindu-Brahmin chakra model) และฟิสิกส์ควอนตัม เพื่อให้เกิดเป็น Chart ที่ต่างกันออกไปของแต่ละบุคคล กล่าวได้ว่า 1 คนมี 1 Chart เป็นของตนเองโดยแท้จริง ที่นอกจากจุดอ่อนจุดแข็งในด้านตัวตนของบุคคลแล้ว ยังกล่าวถึงความท้าทายในการดำเนินชีวิต แนวโน้มความเป็นไปในแต่ละช่วงอายุ และเส้นทางที่เป็นไปได้ในชีวิตทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายจากไป 

ทุกอย่างของ Himan design และการแบ่งประเภทของมนุษย์ในแบบต่าง ๆ ดำเนินภายใต้พื้นฐานแนวคิดด้านพลังงาน และมีส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์ควอนตัมรองรับ เมื่อเป็นการบรรจบกันของศาสตร์โบราณที่เร้นลับ กับวิทยาการสมัยใหม่ด้านฟิสิกส์ จึงเป็นอะไรที่น่าค้นหา และน่าทดลอง โดยการลองนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเป็นอะไรที่ท้าทายและปรับใช้ง่าย จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

Human design Chart เป็นแผนภูมิมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ขึ้นอยู่กับเวลา วันที่ และสถานที่เกิดที่แน่นอนของคนหนึ่งคน หลักการคำนวณจะคล้ายกับโหราศาสตร์ไทย และเมื่อคำนวณมาได้แล้วจะได้หน้าตาแบบในภาพ

human design02

อธิบายเบื้องต้นได้ว่า แผนภูมิ Human design ของแต่ละคน ประกอบด้วยศูนย์กลางเก้าแห่ง ช่องสัญญาณสามสิบหกช่อง และประตูหกสิบสี่ช่อง ศูนย์เป็นตัวแทนของพลังงานประเภทต่างๆ ภายในบุคคล มีการเปิดและปิด ประตูคือการบอกทิศทางการเคลื่อนไหวของพลังงานภายใน แต่ละฐานของพลังงานมีความสำคัญที่แตกต่างกัน Channels เชื่อมต่อสองศูนย์และเป็นพลังงานชีวิตของ BodyGraph

ตัวอย่างของหลักการแบ่งประเภทตามพลังงานของมนุษย์ 

ศาสตร์ Human Design กล่าวถึง 5 ประเภท ของพลังงานที่ส่งเสริมโดยตรงต่อสไตล์ของแต่ละกระบวนการพัฒนาตนเอง โดยมีความง่ายและตรงจุดประสงค์ของแต่ละบุคคล และสามารถนำไปปรับใช้ได้เลย ดังนี้

  1. Generator: ผู้ผลิตและนักสร้างสรรค์ ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยหัวใจและอารมณ์
  2. Manifestor: นักเคลื่อนไหว ผู้ที่ต้องมั่นใจในเส้นทางที่เลือก พร้อมกับจุดยืนที่ชัดเจน
  3. Manifesting Generator: ผู้เป็นทรัพยากรของโลก เป็นคนที่มีพลังงานที่มีความสามารถในการทำได้หลายอย่าง และชอบทำอะไรด้วยตัวเอง
  4. Projector: ผู้ชี้ทาง  มีพลังงานเพื่อเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่น และช่วยเหลือผู้อื่น
  5. Reflector: ผู้ฟังและรับอิทธิพล เป็นผู้ที่ต้องเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นกระจกสะท้อนให้กับผู้อื่น 

นอกจากนี้ Humandesign ยังมีหลักการอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น  Gates Cannels และ profile ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ด้านการพัฒนาศักยภาพร่างกาย การทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้งจิตวิญญาณและปัญญาญาณของแต่ละบุคคลอีกด้วย การทำความเข้าใจแผนภูมิการออกแบบโดยมนุษย์เกี่ยวข้องกับการเข้าใจไดนามิกของศูนย์กลาง ช่องสัญญาณ และประตูเหล่านี้ พร้อมด้วยองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ประเภท กลยุทธ์ อำนาจหน้าที่ และโปรไฟล์ ส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อให้มีมุมมองแบบองค์รวมของการออกแบบของบุคคล โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปสู่การตัดสินใจด้วยตนเอง

เกริ่นมาเพียงเท่านี้อาจจะยังมีความซับซ้อนอยู่ แต่อยากให้ทุกคนติดตามในบทความถัดไปที่ได้เขียนเจาะลึกและเชื่อมโยงถึงการนำไปใช้ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น จะทำให้รู้สึกสนุกกว่านี้ในการศึกษาตัวเองผ่านศาสตร์แห่งการเข้าใจตนเองอย่าง Human design มากขึ้น

[2022-07-19] ตอนที่ 2 เล่นเสียวระหว่างรอรถเมล์

“ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพและดูแลตัวเองให้ดี หมดเวลาของเราแล้ว ไว้พบกันใหม่สัปดาห์หน้าทุกวันจันทร์เวลา 8 นาฬิกา”

ในเช้าวันนี้ฉันตื่นมาพร้อมกับเสียงของรายการทีวี บวกกับบรรยากาศที่ค่อนข้างครึ้ม มีฝนตกปรอย ๆ ทำเอาฉันไม่อยากตื่น ฉันนอนพลิกตัวไปมา รู้สึกงัวเงีย สะลึมสะลืออย่างบอกไม่ถูก อากาศค่อนข้างเย็น ฉันจึงเอามือล้วงเข้าไปใต้ผ้าห่ม ค่อย ๆ ลูบที่หน้าท้องและเรือนร่างของตัวเอง

ฉันใช้มือลูบไปลูบมาบริเวณท้องน้อยของตัวเองและค่อย ๆ ขยับมือลงมาเรื่อย ๆ จนถึงตรงนั้น

“อื้ม……อุ่นดีจัง”

ฉันใช้มือวางตรงนั้นอยู่นาน อุณหภูมิของมือที่ค่อนข้างเย็นบวกกับน้องสาวของฉันที่อุ่นเอามาก ๆ ทำให้ตอนนี้ฉันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ หลังจากที่รู้สึกดีสักพัก ฉันก็เริ่มใช้ปลายนิ้วค่อย ๆ แหย่เข้าไปในร่องกลีบ ลูบขึ้นลูบลงอย่างช้า ๆ ลูบไปทางซ้าย และ ขวา สลับ กับ บน และ ล่าง เมื่อทำไปเรื่อย ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความลื่นของน้ำหีที่ไหลออกมาก ทำเอาแฉะไปทั้งรูหี ฉันเริ่มฟินขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบลืมไปว่า วันนี้มีนัดสัมภาษณ์ทุนกับรุ่นพี่ศิษย์เก่า เมื่อคิดได้ฉันจึงรีบหันมองดูนาฬิกา

“ตาย ตาย ตาย ลืมไปได้ไงวะเนี้ย โอ๊ยยย”

ฉันรีบดีดตัวออกมาจากที่นอน วิ่งไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว การสัมภาษณ์ทุนครั้งนี้สำคัญกับฉันมากถ้าไปสายแม้แต่นาทีเดียวคงไม่ผ่านการคัดเลือกแน่ ๆ ระหว่างที่อาบน้ำฉันรีบเอามือถูไปทั่วเรือนร่าง แต่ก็ต้องสะดุดเพราะฉันยังคงสัมผัสได้ถึงน้ำหีแฉะ ๆ ที่ติดมือออกมาพร้อมกับสบู่ มันทั้งใส ทั้งยืด เห็นแล้วก็ทำเอาฉันยิ่งเงี่ยนหนักกว่าเดิม

“ไม่ได้ ๆ ต้องรีบอาบน้ำ ต้องไปให้ทันสัมภาษณ์”

เมื่ออาบน้ำเสร็จฉันก็ไม่รอช้า รีบแต่งหน้าแต่งตัว เหลือเวลาเพียง 15 นาทีในการเดินทาง ทำให้ฉันไม่ทันได้ตรวจสอบการแต่งกายของตัวเองให้ดีก่อนเข้าสัมภาษณ์

“อะแฮ่ม”
“คะ อ่อ สวัสดีค่ะ ชื่อเบล มนุษย์ศาสตร์ปีหนึ่งที่นัดมาสัมภาษณ์ทุนวันนี้ค่ะ”
“เอ่อคือ รบกวนช่วยติดกระดุมที่เสื้อให้เรียบร้อยก่อนนะครับ เพื่อความสุภาพเนอะ”

เมื่อได้ยินพี่ศิษย์เก่าพูดแบบนั้น ฉันก็รีบก้มดูที่เสื้อของตัวเอง

“ว้าย ขอโทษจริง ๆ ค่ะ”

ฉันลืมติดกระดุมเสื้อสองเม็ดบน ทำให้ถ้ามองเผิน ๆ ก็อาจเห็นสายเสื้อในและเนินหน้าอกนิดหน่อย แต่ถ้าหากว่าตั้งใจมองละก็…………เมื่อฉันติดกระดุมเสร็จก็รีบเงยหน้าขึ้นมา ฉันเห็นว่าสายตาของพี่เขามองมาที่หน้าอก พี่เขาจ้องราวกับว่าสามารถมองทะลุเสื้อนักศึกษาไปจนเห็นหัวนมของฉันที่กำลังตั้งและต้องการการสัมผัส ถ้าหากพี่เขาอ่านใจของฉันออกก็คงจะดี

“เอ่อ คือออออ เสร็จแล้วค่ะ”

เสียงของฉันที่ทักขึ้นมาทำเอาพี่เขาสะดุ้งและละสายตากลับมามองที่หน้า ทำให้ตอนนี้เราทั้งสองคนกลับมาโฟกัสที่การสัมภาษณ์ต่อ

“โอเคครับ เรามาเริ่มสัมภาษณ์กันเลยดีกว่า เราพร้อมแล้วเนอะ”
“ค่ะ”
“งั้นพี่ขอถามเรื่องเกรดเฉลี่ยสะสมก่อนเลยล่ะกัน”

ดูเหมือนว่าการสัมภาษณ์ครั้งนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี พี่เขาถามมา ฉันก็ตอบไป เราทั้งสองคนคุยกันอย่างลื่นไหลราวกับว่านี่ไม่ใช่การสัมภาษณ์แต่เป็นการพูดคุยกันของหนุ่มสาวทั่วไป

หลังจากสัมภาษณ์จบฟ้าก็มืดพอดี ฉันแยกย้ายกับพี่เขาโดยที่ไม่ได้สานสัมพันธ์อะไรกันต่อ ฉันเดินมาที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถกลับหอ แต่เหมือนกับว่าฉันดันมาผิดเวลา

“ป้าคะ รถสายหก จะมาอีกทีกี่โมงคะ”
“โอ้ยนานเลยหนู รถพึ่งออกไปเมื่อกี้เอง”

ฉันทำไรไม่ได้นอกจากรอ และ รอ แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะนานขนาดนี้ จากผู้คนที่เดินไปมาอย่างครึกครื้นก็เริ่มเงียบหายเหลือเพียงคนสองคนที่ยืนอยู่บริเวณป้ายรถ จนตอนนี้เหลือเพียงฉันคนเดียวที่นั้งอยู่

ระหว่างที่นั้งรอฉันหัวของฉันก็ดันไปนึกถึงเพียงแต่สายตาคู่นั้นของพี่เขา สายตาที่พี่เขาจ้องเนินอกของฉันมันทำให้ฉันฟินอย่างบอกไม่ถูก คิดไปคิดมาจนตอนนี้ฉันเริ่มที่จะ…….ถ้าให้พูดตามตรงก็ “ใช่”ฉันเกิดเงี่ยนขึ้นมาอีกแล้ว

ขาของฉันเริ่มทำหน้าที่ในการหนีบบริเวณน้องสาวเอาไว้ จากนั้นสายตาของฉันก็เริ่มมองหาทำเลดี ๆ แล้วมันก็มี จริง ๆ ป้ายรถเมล์มันจะมีที่นั้งสองฝั่งคือข้างหน้าและข้างหลัง ซึ่งข้างหลังจะไม่ค่อยมีคนไปนั่งเนื่องจากมองไม่เห็นรถ และมีป้ายสแตนดี้ของดาราชื่อดังที่วางตั้งอยู่

ฉันไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปนั่งตรงหลังป้ายและค่อย ๆ ถ่างขาทั้งสองข้างออกจากกันอย่างช้า ๆ พยายามชะเง้อคอมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ ถกกางเกงในของตัวเองลง และในระหว่างที่ฉันกำลังขยับมือถกกางเกงใน มือของฉันก็สัมผัสได้ถึงน้ำเงี่ยนที่ค่อย ๆ ยืดไหลลงมาตามแนวกางเกงใน รูหีแฉะไปหมดจนฉันอดใจไม่ไหว

นิ้วมือของฉันในตอนนี้ทำหน้าที่เหมือนกับลิ้นที่กำลังชอนไชไปทั่วเม็ดแตด ค่อย ๆ แทรกผ่านร่องหี อย่างช้า ๆ

“อื้มมมมมมมมมม สะ….เสียวดีจัง”

ระหว่างที่ฉันกำลังเสียวกับตัวเองอยู่นั้น อีกใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าจะมีคนผ่านมาเห็นรึเปล่า ในขณะที่นิ้วกำลังทำงาน แหย่เข้า ๆ ออก ๆ ในรูหี อย่างเป็นจังหวะ

“อ๋า อ๋าอื้อออออ”

สายตาของฉันก็ทำหน้าที่มองไปรอบ ๆ แต่ด้วยความเสียวและความตื่นเต้นที่มีจึงทำให้ฉันเผลอหลับตา และกัดริมฝีปากล่างของตัวเอง พร้อมกับลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ

“ซี๊ดดดด อ๊า”

เวลาผ่านไปสักพักก็เหมือนกับว่าฉันใกล้จะเสร็จแล้ว มือทั้งสองข้างของฉันตอนนี้มารวมกันอยู่ที่หี ขาของฉันเริ่มถ่างออกจากกันมากขึ้น นิ้วมือข้างขวา ก็กด ๆ วน ไป วน มา ที่เม็ดแตด ในขณะที่นิ้วมือข้างซ้ายแหย่เข้าออกในรูหี โดยจังหวะเริ่มจากช้า ๆ แล้วค่อย ๆ เร่งให้เร็วขึ้นตามอารมณ์ แต่ตอนนี้ใกล้เสร็จแล้ว ฉันจึงรีบรั่วนิ้วเข้า ๆ ออก ๆ ในรูหีตัวเองอย่างสะใจ

“อื้ออออ เสียวว
อ๋า จะแตกแล้ว….แล้วว

น้ำเงี่ยนไหลในรูหีก็ไหลผ่านขาหนีบลงมาอย่างช้า ๆ ทำเอาตอนนี้ฉันอดไม่ได้ที่จะเงียบเสียงของตัวเอง
ยิ่งอยู่นอกสถานที่แบบนี้ยิ่งตื่นเต้น มันเร้าใจยิ่งกว่าการโดนเย็ดซะอีก ระหว่างที่คิดนิ้วมือของฉันก็ยิ่งทำงานหนักขึ้นและรุนแรงมากขึ้น จนตอนนี้ฉัน

“อ๋า อ๋า น้ำแตกแล้ววว”
“อื้มมมมมม น้ำเงี่ยนแฉะหีไปหมดเลย”

ถึงแม้ว่าจะเสร็จแล้วแต่ฉันก็ยังคงแหย่นิ้วเล่นเข้าออกในรูหีอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงความกระตุกภายในรูหี ซึ่งยอมรับเลยว่าครั้งนี้กระตุกมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะความเงี่ยนที่เก็บกดมาตั้งแต่เมื่อเช้า บวกกับสายตาของรุ่นพี่ศิษย์เก่าที่ทำเอาน้ำเดิน

หลังจากนั้นฉันนั่งรออีกพักนึงรถก็มา เรียกได้ว่ากิจกรรมการเสียวในครั้งนี้ช่วยฆ่าเวลาและแก้เบื่อได้ดีมาก
และหวังว่าครั้งหน้าจะไม่มีเหตุการณ์อะไรแบบนี้อีก หึ ไม่จริงหรอก เพราะเหตุการณ์แบบนี้จะยังคงมีมาเรื่อย ๆ เลยล่ะ เพราะฉันขอสารภาพเลยว่า เงี่ยนนอกสถานที่ฟินกว่าอยู่ในห้องเยอะ

[2022-07-18] ตอนที่ 1 นอกสถานที่ครั้งแรกของเบล

เบล วัยรุ่นสาวอายุ 19 ปี เธอเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาเรียนต่อมหาลัยในกรุงเทพ มีนิสัยร่าเริง มีรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเป็นคนเรียบร้อย ตั้งใจเรียน พูดจาน่าฟัง ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้มีแต่คนอยากเข้ามาทำความรู้จักเธอ ซึ่งเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ที่เข้ามาทำความรู้จักมีจุดประสงค์เดียวกัน คือ อยากพึ่งพาเธอในเรื่องเรียน ทำให้เธอกลายเป็นเด็กหน้าห้องในสายตาเพื่อน ๆ ระหว่างที่เธอใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพก็ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่น ไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งวันนึง

“เอ่าเบล ทำไมวันนี้กลับดึกจัง”
“พอดีมีงานที่ยังทำไม่เสร็จนิดหน่อย”
“อ่อหรอ งั้นเดี๋ยวเราไปล่ะนะ อย่ากลับดึกมากหล่ะ”

เพื่อนสาวเข้ามาทักทายเธอที่กำลังนั่งทำงานอยู่คนเดียวในห้องสมุด เธอพยายามโฟกัสกับงานตรงหน้าที่ต้องส่งภายในวันพรุ่งนี้ แต่ ไม่ว่าพยายามเท่าไหร่เธอก็ไม่สามารถทำได้ เหมือนกับว่าสมองของเธอตัน คิดอะไรไม่ออก
เธอเริ่มเกิดความเคลียดขึ้นเรื่อย ๆ และมีนิสัยอีกอย่างของเธอที่ยังไม่ได้บอกคือ เมื่อเกิดความเคลียดในหัวมาก ๆ เธอก็มักจะมีอารมณ์ทางเพศร่วมด้วย หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเธอจะเงี่ยน ทุกครั้งที่มีเรื่องเครียด ไม่แน่ใจว่าความผิดปกตินี้เกิดขึ้นกับเธอเพียงคนเดียวหรือเปล่า แต่เธอเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ที่มีประจำเดือนครั้งแรก และทุกครั้งที่เกิดอาการแบบนี้เธอก็มักจะช่วยตัวเองทันที

เธอพยายามห้ามใจตัวเอง เพราะสถานที่ที่เธอนั่งอยู่ตอนนี้คือห้องสมุด และแน่นอนว่าสถานที่แบบนี้คงไม่มีใครมาช่วยตัวเองแน่ ๆ แต่ผ่านไปไม่นานจากที่เธอนั่งเท้าคางปกติ เธอก็เริ่มเอาขาทั้งสองข้างมาถูกันไปถูกันมา หลังจากนั้นเธอก็เริ่มนั่งไขว่ห้าง พยายามที่จะหนีบตรงนั้นเอาไว้เพื่อให้เกิดความเสียว แต่เหมือนกับว่ายิ่งทำเธอก็ยิ่งเงี่ยนมากขึ้นกว่าเดิม

เธอใช้สายตามองไปรอบ ๆ สังเกตว่ามีใครอยู่แถวนี้รึเปล่า นาทีนั้นเธอคิดอะไรไม่ออกแล้ว รู้เพียงแต่ว่าต้องทำยังไงก็ได้เพื่อให้ตัวเองเสร็จ เธออดใจไม่ไหวจึงเดินไปในมุมที่มืดลับตาคน ซึ่งเป็นชั้นวางหนังสือสองชั้นที่มาวางต่อกันจึงทำให้เกิดเป็นมุมพอดี บวกกับช่วงเวลาที่ค่อนข้างดึกทำให้เจ้าหน้าที่ห้องสมุดต้องปิดไฟบางส่วน คงไม่มีที่ไหนในแล้วที่จะเหมาะเจาะกับการช่วยตัวเองเท่าที่นี่ เธอตัดสินใจนั่งลงไปกับพื้นและค่อย ๆ เอนหลังให้พอดีกับมุม หลังจากนั้นก็ค่อยเอามือล้วงเข้าไปที่กางเกงในของตัวเอง เธอลูบ ๆ วน ๆ ภายนอกกางเกงในทำให้นิ้วมือของเธอสัมผัสถึงน้ำเงี่ยนที่แฉะทะลุออกนอกกางเกง เธอล้วงเข้าไปข้างในและค่อย ๆ ขยับปลายนิ้วไปที่บริเวณเม็ดแตด เขี่ยไป เขี่ยมา และใช้นิ้ววน ๆ อย่างช้า ๆ

เธออดทนกับความเสียวไม่ไหวจึงตัดสินใจถอดกางเกงในออก ตอนนี้เธอเหลือเพียงกระโปรงนักศึกษาและเสื้อที่ปลดกระดุมออกจนมองเห็นเสื้อในและเนินอก เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของเจ้าหน้าที่ เธอทำเป็นหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อบังหน้า ในขณะที่มืออีกข้างก็กำลังเขี่ยเม็ดแตดไปมาอย่างต่อเนื่อง

“อื้ม”

หลังจากนั้นเธอก็เริ่มแหย่นิ้วของตัวเองเข้าไปในรูหี ตอนนี้น้ำเงี่ยนของเธอเยอะจนเกินไป ทำให้เกิดเสียง แจ๊ะ แจ๊ะ ทุกครั้งที่เอานิ้วเข้าและเอาออก

ตอนนี้เธอกำลังเสียวมากจนไม่ได้จนใจสิ่งรอบด้าน เธอทิ้งหนังสือที่เธอถือในตอนแรกและใช้มือข้างนั้นล้วงไปที่เสื้อใน ค่อย ๆ ใช้นิ้ววนไปมาที่หัวนม แต่มันยังเสียวไม่พอ เธอจึงใช้มือข้างนั้นล้วงเข้าไปที่เม็ดแตด กลายเป็นว่าตอนนี้มืออีกข้างกำลังแหย่เข้า ๆ ออก ๆ ในรูหีอย่างเป็นจังหวะ และอีกข้างก็วนไป วนมา ตรงเม็ดแตด

“อื้ม………………….อ๊า”

เธอพยายามเก็บเสียงครางของตัวเอง แต่ก็เผลอครางออกมาจนได้ ปกติเธอก็ช่วยตัวเองมาตลอดแต่การช่วยตัวเองครั้งนี้กลับทำให้เธอเสียวจนไม่น่าเชื่อ

เมื่อวนเม็ดแตดจนมีน้ำเงี่ยนติดมือมามากพอแล้วเธอก็ค่อย ๆ เอามือที่เปียกน้ำเงี่ยนมากลูบบริเวณหัวนมทั้งสองด้าน ค่อย ๆ ลูบที่ด้านซ้าย และขยับมาลูบที่ด้านขวา ทำให้ตอนนี้ทั้งหน้าอกและรูหีของเธอเต็มไปด้วยน้ำเงี่ยน

“อ๊า……..จะแตกแล้ว”

เธอเร่งจังหวะความเร็วในการแหย่นิ้วเข้าออกในรูหี เมื่อน้ำเงี่ยนเต็มรูหีของเธอไปหมด ยิ่งทำให้เสียง แจ๊ะ ดังขึ้นตามจังหวะของนิ้ว เมื่อเธอเอานิ้วออกก็จะเห็นน้ำเงี่ยนที่ไหลออกมาตาม เธอทำเร็วขึ้น ทำเร็วขึ้น พร้อมกับแอ่นหีเด้งรับนิ้วของตัวเองอย่างเป็นจังหวะ

“ตอนนี้หอสมุดใกล้ปิดแล้วนะคะ ก่อนออกจากห้องสมุดขอให้นักศึกษาตรวจสอบสัมภาระตัวเองให้เรียบร้อย ขอบคุณค่ะ”

“อื้มเสียวอ๋า จะแตกแล้วววว”

เสียงประชาสัมพันธ์จากเจ้าหน้าที่ดังไปทั่วห้องแต่ก็ไม่ทำให้เธอตกใจหรือหยุดทำ แต่มันกลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกดีมากขึ้น เพราะถ้าหากเธอครางตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครได้ยิน เธอจึงอาศัยจังหวะนี้ในการรีบแหย่นิ้วรัวในรูหีเพื่อให้ตัวเองเสร็จ และในที่สุด

“จะ………..แตกแล้ว แตกแล้ววววววววววว”

เป็นครั้งแรกที่เธอสำเร็จความใคร่นอกสถานที่และมันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เธอรู้ว่าจริง ๆ แล้วการช่วยตัวเองนอกสถานที่แบบนี้มันทำให้เธอมีความสุขมากกว่าการที่อยู่ในห้อง และนี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอหลงรักการช่วยตัวนอกสถานที่ หลังจากที่ช่วยตัวเองเสร็จเธอก็เก็บของกลับหอตัวเอง และนอนบนเตียงคนเดียวว่าคราวหน้าจะไปช่วยตัวเองที่ไหนอีกดี