การเป็น Naturist : ยอมรับในธรรมชาติของ Body ไม่ใช่ความงามที่สมบูรณ์แบบ

เป็นเรื่องธรรมดามากที่หลายคนจะรู้สึกกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตาเมื่อคิดจะเข้าร่วมชมรม Naturist หรือลองสัมผัสวิถีชีวิตแบบเปลือยกาย (Nudism/Naturism) ความรู้สึกเหล่านี้เกิดจากมาตรฐานความงามที่สังคมกำหนดไว้ ซึ่งมักจะเน้นย้ำถึงความสมบูรณ์แบบที่อาจไม่ใช่เรื่องจริงสำหรับทุกคน

อย่างไรก็ตาม หลักการสำคัญของ Naturism ไม่ได้เกี่ยวกับการมีรูปร่างที่สวยงามน่าหลงใหลเลยแม้แต่น้อย แต่เน้นที่การยอมรับในธรรมชาติของร่างกาย การปลดปล่อยตัวเองจากข้อจำกัดทางสังคม และการเคารพซึ่งกันและกัน นี่คือแนวทางที่คุณสามารถนำเสนอเพื่อช่วยให้เขาเข้าใจและมั่นใจมากขึ้น:

1. ทำความเข้าใจแก่นแท้ของ Naturism: การยอมรับในธรรมชาติ

Naturism คือวิถีชีวิตที่เน้นการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน รวมถึงการยอมรับร่างกายตามธรรมชาติโดยไม่มีเสื้อผ้าปกปิด โดยมีหลักคิดดังนี้:

  • อิสระจากการถูกตัดสิน: ในพื้นที่ของ Naturist ผู้คนมักจะวางการตัดสินเรื่องรูปร่างหน้าตาหรือความสมบูรณ์แบบลง ความสำคัญคือการเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง การเปลือยกายในบริบทนี้คือการปลดปล่อยจากความรู้สึกอึดอัดที่เกิดจากเสื้อผ้าและมาตรฐานทางสังคม

 

  • ความเสมอภาค: เมื่อทุกคนเปลือยกาย ไม่มีเสื้อผ้าแบรนด์เนม หรือเครื่องประดับที่บ่งบอกฐานะ ทุกคนจะอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งและยอมรับซึ่งกันและกันมากขึ้น

 

  • การเชื่อมโยงกับธรรมชาติ: การเปลือยกายเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายได้สัมผัสกับแสงแดด สายลม และน้ำอย่างเต็มที่ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง

2. รูปร่างที่หลากหลายคือเรื่องปกติ: ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ

เมื่ออยู่ในพื้นที่ของ Naturist คุณจะสังเกตเห็นว่าผู้คนมีรูปร่าง อายุ และลักษณะทางกายภาพที่หลากหลายอย่างแท้จริง:

  • ทุกคนมีเอกลักษณ์: ไม่มีใครมีรูปร่างที่ “สมบูรณ์แบบ” ตามที่สื่อนำเสนอ ทุกคนมีรอยแผลเป็น รอยแตกลาย รูปร่างที่แตกต่างกัน และนี่คือความปกติของมนุษย์
  • ยอมรับความแตกต่าง: การได้เห็นร่างกายที่หลากหลายจะช่วยให้เกิดการยอมรับในความแตกต่างทางกายภาพมากขึ้น ทั้งของผู้อื่นและของตัวเอง มันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ตระหนักว่า “ร่างกายของฉันก็เป็นปกติเหมือนกัน”

 

  • โฟกัสที่การกระทำ ไม่ใช่รูปลักษณ์: ในชมรม Naturist ผู้คนจะให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมร่วมกัน การพักผ่อน การพูดคุย และการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน มากกว่าการจ้องมองหรือตัดสินรูปลักษณ์ของผู้อื่น

3. เปลือยกายในวิถีของ Naturist: ความเคารพและความสบายใจ

การเปลือยกายในวิถี Naturist ไม่ได้เกี่ยวกับการยั่วยวนทางเพศ แต่เป็นการใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่มีเสื้อผ้า ซึ่งมีหลักปฏิบัติที่สำคัญคือ:

  • ไม่ใช่เรื่องทางเพศ: สภาพแวดล้อมของ Naturist โดยทั่วไปไม่ใช่พื้นที่ที่เน้นเรื่องทางเพศ การเปลือยกายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการยอมรับธรรมชาติของร่างกาย
  • ความเคารพซึ่งกันและกัน: ผู้เข้าร่วมทุกคนจะถูกคาดหวังให้เคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น ไม่จ้องมอง ไม่ถ่ายรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต และปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม
  • ความสบายใจคือสิ่งสำคัญ: ไม่มีใครบังคับให้คุณรู้สึกสบายใจกับการเปลือยกายได้ทันที การเริ่มต้นอาจค่อยเป็นค่อยไปได้ เช่น ลองในพื้นที่ส่วนตัวก่อน หรือใช้เวลาในการปรับตัวในพื้นที่ชมรมที่ปลอดภัย

มารยาทของ Naturist: มีมารยาทพื้นฐาน เช่น การใช้ผ้าเช็ดตัวปูรองนั่งเมื่อนั่งในพื้นที่สาธารณะ และการรักษาความสะอาด ซึ่งแสดงถึงความเคารพต่อผู้อื่น

 

บทสรุป

“คุณไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างที่สวยงามหรือสมบูรณ์แบบเพื่อเป็น Naturist” สิ่งสำคัญคือการเปิดใจยอมรับในธรรมชาติของร่างกายตนเองและผู้อื่น การให้เกียรติซึ่งกันและกัน และการค้นพบความสบายใจในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากเสื้อผ้า การเข้าร่วมชมรม Naturist เป็นโอกาสที่จะได้สัมผัสกับความรู้สึกอิสระ ความเท่าเทียม และการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่เน้นการยอมรับและเคารพในธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริง

เราควรเริ่มต้นจากการทำความรู้จักกับหลักการเบื้องต้นของ Naturism ให้ดีขึ้น และเมื่อเรารู้สึกพร้อม ก็อาจจะลองไปเยี่ยมชมสถานที่ที่เป็นมิตรกับผู้เริ่มต้น เพื่อสัมผัสบรรยากาศและดูว่าเขารู้สึกสบายใจกับสิ่งแวดล้อมแบบนั้นหรือไม่ การตัดสินใจเป็นเรื่องส่วนตัว และความสบายใจของเขาคือสิ่งสำคัญที่สุด

การฮีลลิ่งแบบ Naturalism โดยอิงตามธาตุประจำร่างกาย

การฮีลลิ่ง Healing เป็นการบำบัดร่างกายที่เน้นด้านสุขภาพ หากปฏิบัติคู่กับแนวทางของ Naturalism ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่เน้นการใช้ธรรมชาติ โดยเน้นการปรับสมดุลของร่างกายตามธาตุประจำตัว ตามแนวคิดที่มีรากฐานมาจากการแพทย์แผนไทย, การแพทย์แบบอินเดีย หรือที่เรียกว่าอายุรเวท จะทำให้ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ

โดยการแพทย์แผนไทย เชื่อว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ (อายุรเวทอินเดียมีเพิ่มเติมเป็น ธาตุที่ 5 คือ อากาศธาตุ) เพื่อง่ายต่อการจำแนก และความคุ้นเคยของคนไทย ขอกล่าวในหลักการแพทย์แผนไทย มา ณ ที่นี้ โดยการรักษาและการดูแลสุขภาพด้วยการปรับสมดุลของธาตุมีหลักการเบื้องต้น ดังนี้

การดูธาตุประจำร่างกายแบบเดือนเกิด

  • ธาตุดิน: ผู้ที่เกิดในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม 
  • ธาตุน้ำ: ผู้ที่เกิดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 
  • ธาตุลม: ผู้ที่เกิดในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน 
  • ธาตุไฟ: ผู้ที่เกิดในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม 

การปรับสมดุลธาตุด้วยการบำบัดแบบ Naturalism

การปรับสมดุลธาตุในร่างกายสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเลือกกินอาหารที่เหมาะสมกับธาตุ การออกกำลังกาย การทำสมาธิ และการใช้สมุนไพร แนวคิด Naturalism เชื่อว่าการเยียวยาตนเองโดยเชื่อมโยงกับศาสตร์ที่เอาธรรมชาติเป็นที่ตั้งจะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวและบริบูรณ์ เราสามารถนำหลักการทั้ง 4 อย่างที่กล่าวมาข้างต้นมาปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้

  • การกินอาหารเป็นยา

อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยธาตุที่แตกต่างกัน เช่น ผักใบเขียวมีธาตุน้ำสูง ข้าวกล้องมีธาตุดินสูง เนื้อสัตว์มีธาตุไฟสูง เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ธาตุในอาหารจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปรับสมดุลธาตุในร่างกาย หากร่างกายขาดธาตุใดธาตุหนึ่ง การรับประทานอาหารที่มีธาตุนั้นเป็นส่วนประกอบหลัก จะช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกายได้

การเลือกอาหารเพื่อปรับสมดุลธาตุ

  • ธาตุดินไม่สมดุล: อาจมีอาการท้องผูก ปากแห้ง ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุดินสูง เช่น ข้าวกล้อง ผักราก
  • ธาตุน้ำไม่สมดุล: อาจมีอาการบวม น้ำหนักตัวเพิ่ม ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุน้ำสูง เช่น ผักใบเขียว ซุป
  • ธาตุไฟไม่สมดุล: อาจมีอาการร้อนใน แผลในปาก ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุน้ำสูง เช่น ผักใบเขียว
  • ธาตุลมไม่สมดุล: อาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ควรรับประทานอาหารที่มีรสหวานและเค็ม
  • การเลือกประเภทของการออกกำลังกายที่เข้ากับตัวเอง

ธาตุดิน: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นความแข็งแรง เช่น โยคะ ปั่นจักรยาน หรือยกน้ำหนักเบาๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและกระดูก

ธาตุน้ำ: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นความยืดหยุ่น เช่น โยคะ ปีกกา หรือการว่ายน้ำ เพื่อช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและลดความตึงเครียด

ธาตุไฟ: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นการเผาผลาญ เช่น การวิ่ง การเต้นแอโรบิก หรือการฝึกความแข็งแรง เพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น

ธาตุลม: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นการควบคุมลมหายใจ เช่น ไทเก๊ก หรือการทำสมาธิ เพื่อช่วยให้จิตใจสงบและควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น

  1. การทำสมาธิ ช่วยได้ทุกธาตุ ไม่ว่าจะทำแบบไหนก็ตาม โดยแต่ละธาตุอาจมีวิธีการเริ่มต้นไม่เหมือนกัน 

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุดิน: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นความรู้สึกถึงร่างกาย เช่น การนั่งสมาธิแบบวิปัสสนา หรือการทำสมาธิโดยการกำหนดรู้ลมหายใจ การสัมผัสกับพื้นดิน หรือการนั่งสมาธิในธรรมชาติ จะช่วยให้คนธาตุดินรู้สึกเชื่อมโยงกับโลกภายนอกและสงบลง

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุน้ำ: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นความรู้สึกนึกคิด เช่น การทำสมาธิแบบเมตตา การทำสมาธิโดยการจินตนาการถึงภาพที่สวยงาม หรือการฟังเสียงธรรมชาติ จะช่วยให้คนธาตุน้ำรู้สึกผ่อนคลายและปล่อยวางความคิดที่วนเวียนอยู่

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุไฟ: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นการเคลื่อนไหว เช่น ไทเก๊ก หรือการทำสมาธิแบบเดินจงกรม การทำสมาธิที่เน้นการเคลื่อนไหวจะช่วยให้คนธาตุไฟระบายพลังงานส่วนเกินและสงบจิตใจได้

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุลม: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นการจินตนาการ เช่น การทำสมาธิแบบทิเบต หรือการทำสมาธิโดยการ визуализировать (visualize) การทำสมาธิแบบนี้จะช่วยให้คนธาตุลมได้ปล่อยจินตนาการและสงบจิตใจได้

2. การเลือกใช้สมุนไพรที่เหมาะสมกับธาตุประจำตัว (จะให้ดีที่สุดต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของเภสัชกร ซึ่งมีทั้งเภสัชกรในแบบการแพทย์ทางตรงและการแพทย์ทางเลือก)

ธาตุดิน: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสหวาน ช่วยบำรุงธาตุดิน เช่น เห็ดหลินจือ เก๋ากี้ โสม

ธาตุน้ำ: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเค็ม ช่วยบำรุงธาตุน้ำ เช่น หญ้าหวาน ใบเตย

ธาตุไฟ: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว ช่วยดับไฟในร่างกาย เช่น มะขามป้อม มะยม

ธาตุลม: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเผ็ด ช่วยขับลมในลำไส้ เช่น ขิง ตะไคร้

สมุนไพรแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน การเลือกสมุนไพรที่ตรงกับธาตุที่ขาดจะช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกาย เมื่อสมุนไพรเข้ากับธาตุของเรา จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสรรพคุณของสมุนไพรได้ดีขึ้น และควรระวังไว้เสมอว่า การเลือกสมุนไพรที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ คนที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ควรระวังเป็นพิเศษ

ด้วยความเชื่อ ปรัชญา และแนวทางการดำเนินชีวิตของชาว Naturalist หรือปรัชญาแนว Naturalism ที่เน้นการอยู่กับธรรมชาติของตัวเองให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติภายนอกอยู่แล้ว จึงไม่ยากเลยที่จะนำหลักการดี ๆ อย่างการปรับพฤติกรรมตามธาตุประจำตัวไปใช้ นอกจากจะส่งเสริมให้สุขภาพดีแล้ว การศึกษาหลักการแพทย์แผนไทย อินเดีย หรือการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ ที่ลึกซึ้งขึ้น มีความเป็นวิทยาศาสตร์สุขภาพมากขึ้น จะทำให้องค์ความรู้และปรัชญาที่ผสมผสานได้ถูกยอมรับและถ่ายทอดไปในวงกว้างได้อีกด้วย

เพิ่ม Self esteem ตามแนวทางชาว Naturalism

“Naturalism” แปลตรงตัวเลยนั่นก็คือ “ธรรมชาตินิยม” เป็นแนวคิดที่เน้นเรื่องพลังงานตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในทุกสรรพสิ่งบนโลกและนอกโลก รวมถึงพลังงานภายในตัวมนุษย์ด้วย

ธรรมชาตินิยม เป็นทฤษฎีเท่านั้น ไม่ใช่ลัทธิ เพราะไม่ได้เชื่อในผู้สร้าง เทพ หรือต้องมีรูปเคารพอะไรใด ๆ

กล่าวคือ “Naturalism” เป็นแนวคิด ทฤษฎี ที่อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบนพื้นฐานแห่งกฏธรรมชาติ ตามทัศนะหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากแนวคิดเดิมของมนุษย์ที่มีการนับถือผี-เทวดา สิ่งเหนือธรรมชาติ และตามทัศนะดังกล่าว มีการชูแก่นของแนวคิดที่ว่า “ธรรมชาติ” คือความจริงสูงสุด ธรรมชาติย่อมอธิบายได้โดยวิถีทางแห่งการเคลื่อนไหวและพลังงาน ยกตัวอย่างแนวคิดที่เห็นภาพมากขึ้นว่า Naturalism ไม่ใช่ลัทธิใด เช่น คำกล่าวที่ว่า “ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติย่อมเกิดขึ้นเพราะมีการเคลื่อนไหวและกระแสคลื่นแห่งไฟฟ้า” การที่ถูกอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ที่เน้นการพิสูจน์ได้เป็นหลัก จึงมีการเรียกหลักการนี้ว่า “ปรัชญาสัจนิยม” (Realism) ด้วยเช่นกัน 

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า Naturalism และ Realism เป็นแนวคิดสองชื่อเรียกที่มีหลักการและแนวทางปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ธรรมชาตินิยม- Naturalism เชื่อว่า…

  • ทุกสิ่งมีพลังงานในตัว (Self – activating) 
  • ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง (Self – existent) 
  • มีทุกอย่างในตัวเอง (Self – contained) 
  • อาศัยตัวเอง (Self – dependent) 
  • ปฏิบัติการได้ด้วยตนเอง (Self – operating) 
  • มีเหตุผลในตัวของมันเอง (Self – explanatory)

จากตอนแรกที่อธิบายบว่า Naturalism เป็นทัศนะที่ไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ (Anti – supernaturalistic) นั่นคือ การเชื่อว่าปรากฏการณ์ทุก ๆ อย่างเป็นไปตามสภาวะความเกี่ยวพันที่มีต่อกันของเหตุการณ์ทางธรรมชาตินั้น ๆ เอง ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจเหนือธรรมชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นกระบวนการธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง เพราะความประจวบเหมาะด้วยสถานที่ รูปการณ์ และเวลา กล่าวคือธรรมชาตินี้มีโครงสร้างของตนเอง และโครงสร้างนั้นเกิดขึ้นได้เอง ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอำนาจเหนือธรรมชาติ

คีย์เวิร์ดที่สำคัญต่อการเข้าใจแนวคิด Naturalism ได้แก่ ความนิยมวิทยาศาสตร์ (Prescientific) แต่นอกจากสิ่งทั้งหลายที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ณ ปัจจุบันแล้ว Naturalism ยังเชื่อในหลักการของพลังงานที่เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดปัญญา (Intuition) อีกด้วย ซึ่งปัญญา ก็สามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้แล้ว ด้วยหลักการทางด้านควอนตัม เป็นต้น

Naturalism เชื่อว่า “จิตใจ”และสภาวะของจิตใจ ล้วนเป็นปรากฏการณ์ของสมอง ถูกควบคุมด้วยกฎกลศาสตร์ ทางฟิสิกส์ ไม่มีอำนาจริเริ่มด้วยเทพใดดลใจ และจิตใจนั้นก็มีเสรีภาพในตัวเอง ซึ่งในบาสงกลุ่มของผู้ที่มีแนวคิดด้าน Naturalism ก็ต่อต้านการมีอยู่ของการนับถือศาสนาและเรื่องลี้ลับ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีกลุ่มที่เห็นประโยชน์ด้านดีของศาสนา และประนีประนอมในการปรับตัวให้เข้ากับคนกลุ่มอื่นที่ยังนับถือศาสนาและเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องอ่อนไหวและซับซ้อน แต่ละบุคคลมีนิยามในด้านของ Naturalism ที่ต่างกันออกไป จึงทำให้คำเรียก คำนิยามทางการ และความเข้าใจในมุมมองของคนภายนอกที่มองต่อชาว Naturalism มีความแตกต่างกัน

การพัฒนา self esteem ควบคู่ไปกับแนวคิด Naturalism

 self esteem เป็นศัพท์ที่เกี่ยวกับจิตวิทยา แปลได้ว่าเป็น “การเห็นคุณค่าในตัวเอง” หรือไม่ก็ “การนับถือตนเอง” เป็นเรื่องของทัศนคติที่มีต่อตนเองโดยภาพรวม เป็นสภาวะอารมณ์ภายในจิตใจและมุมมองของคนคนนั้นที่มีต่อตัวเอง 

คุณค่าและการนับถือตนเอง คือการสร้างความหมายและนิยามของตนเองที่เป็นส่วนบุคคล มีความเฉพาะตัว และไม่สามารถกำหนดคุณค่าและความนับถือตนเองแทนกันได้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นเห็นอย่างชัดเจน หรือต้องเห็นสอดคล้องเหมือนกับตัวเรา เช่น การมีความแน่วแน่ในความคิดของตัวเอง ชื่นชมตัวเอง และแน่ใจว่าตัวเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร จึงไม่จำเป็นต้องคล้อยตามคนอื่นทุกเรื่อง เป็นต้น

นอกจากนี้ยังคาบเกี่ยวกับเรื่องทักษะและความสามารถของแต่ละบุคคลด้วย  เช่น ผู้ที่มั่นใจในตัวเอง อาจมั่นใจในแง่ที่มาจากความถนัดในทักษะหรือความสามารถด้านใดด้านหนึ่งก็ได้ เช่น ความสามารถในการวาดภาพ การคำนวณ หรือทักษะด้านความแข็งแรงของร่างกาย เป็นต้น

ผู้ที่มี self esteem ใจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ในระดับที่เรียกได้ว่า “มีจุดยืนของตัวเอง” มีอิสระในแนวคิดและการแสดงออก ซึ่งชาว Naturalism มีความชัดเจนในเรื่องนี้ ดังนั้นชาว Naturalism จึงมีจุดแข็งในด้านการรู้จักตนเอง และปรับใช้เพื่อการมีจุดยืนที่สามารถเข้ากลุ่มไปกับสังคมมวลรวมได้ การมี Self-esteem ในระดับที่เพียงพอจะเห็นได้ชัดว่า คนคนนั้นสามารถเคารพความเป็นตัวตนของผู้อื่นได้อย่างสบาย ไม่ฝืนทำ และเป็นธรรมชาติ ดังนั้นจุดเด่นในด้านการพัฒนา self esteem ควบคู่ไปกับการศึกษาแนวคิด Naturalism จึงช่วยให้สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพกับผู้คนรอบข้างได้ ภายใต้พื้นฐานของการรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้ง มีเหตุมีผล เน้นการอธิบายให้เข้าใจ และปล่อยพื้นที่ให้แต่ละคนได้ตกตะกอนทางความคิด และไม่ได้เกิดการครอบงำบงการ ที่ใช้ความกลัวในสิ่งที่อธิบายไม่ได้มาเป็นเครื่องมือนั่นเอง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเกริ่นนำให้เข้าใจความเชื่อมโยงในเบื้องต้นเท่านั้น หากแต่แก่นสำคัญของ Naturalism ที่นำไปใช้พัฒนา Self esteem ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ยังไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างเจาะลึกในบทความนี้ จึงอยากให้ทุกคนได้ติดตามบทความอื่น ๆ ในเว็บไซต์และกลุ่มของเรา เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาตนเองต่อไป