[จ้างงาน] หานักเขียน Freelance – Content Creator 5 ตำแหน่ง

Content Creator, Content Writer (Spiritual, Humanity + Innovation Science and Technology)

รับสมัคร นักเขียนอิสระ Content Creator แนว จิตวิญญาณ และนวตกรรม เทคโนโลยีต่างๆ

หากคุณสนใจโปรดติดต่อ เบอร์โทร 098-552-9292

Line ID : sirwilliams0551

 

รายละเอียดดังต่อไปนี้

เราทำบริการ SEO โดยใช้แนวคิด “พรหม” เพื่อสร้างชุมชนที่สนับสนุนธุรกิจนวัตกรรม โดยให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ธรรมชาติ เราทำงานร่วมกับนักเคลื่อนไหวทั่วโลกที่ชอบใช้ชีวิตด้วยความมีสติและพลังจิตวิญญาณ นอกจากนี้ เรายังมีส่วนร่วมในกิจกรรม Non-Sexual Activities โดยมี life style ในแบบ Naturist / Nudism

เรากำลังมองหานักเขียนเนื้อหาหรือผู้สร้างเนื้อหาที่มีประสบการณ์ด้านจิตวิญญาณจากภายใน เรากำลังให้บริการ SEO โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อติดต่อกับ Activist และฟรีแลนซ์หลายคนที่ชอบใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติและสามารถปฏิบัติในลักษณะ Naturist เพื่อจุดประสงค์ทางจิตวิญญาณเท่านั้น (ไม่ใช่กิจกรรมทางเพศ)

[เนื้อหาของเราจะอยู่ในหมวดหมู่เหล่านี้]
นวัตกรรม
การศึกษา
ศาสนาและความเชื่อ
ปรัชญา
มนุษยศาสตร์
เทคโนโลยี
มูเทลู / ไพ่ทาโรต์ / พลังจักรวาล
ความรักและความสัมพันธ์
ปรัชญาขององค์กร
จิตวิทยา
ศิลปะสวยงาม
Naturist, Nudism, นักเคลื่อนไหว Liberal

เรากำลังมองหาบุคคลที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้:

เพศ: ชายหรือหญิง
อายุ: 20 – 36 ปี
สถานที่: สามารถเดินทางและเข้าร่วมประชุมบริเวณใกล้เคียง ปิ่นเกล้า ได้
การศึกษา: จิตวิทยา, ศิลปะการสื่อสาร, สังคมศาสตร์, มนุษยศาสตร์, วิทยาศาสตร์ หรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ความสนใจส่วนบุคคล
✅ สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์
✅ สนใจโหราศาสตร์
✅ ใฝ่รู้เกี่ยวกับความลับของสสารและวิทยาศาสตร์วัสดุ
✅ มีประสบการณ์หรือสัมผัสพิเศษเกี่ยวกับการพยากรณ์
✅ สนใจศึกษาเทวปรัชญา (Theosophy)
✅ ชื่นชอบการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
✅ เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับ “เนโครแมนซี” (Necromancy)
✅ มีความสามารถทางจิตสัมผัสอื่นๆ (ยินดีต้อนรับ)

กิจกรรม
✅ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมแนว Naturist เพื่อสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์
✅ รักและสนใจการอนุรักษ์ธรรมชาติ
✅ สนใจทำงานร่วมกับองค์กร NGO ในด้านสิ่งแวดล้อม
✅ เข้าร่วมสัมมนาหรือเวทีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
✅ สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้

ทัศนคติ
✅ เปิดกว้างทางความคิด
✅ มีแนวคิดเชิงบวก
✅ รักการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
✅ มีภาวะผู้นำสูง
✅ ชื่นชอบการพบปะและสร้างมิตรภาพใหม่ๆ
✅ มีแนวคิดเติบโต (Growth Mindset)

 

หากคุณสนใจโปรดติดต่อ เบอร์โทร 098-552-9292

Line ID : sirwilliams0551

เป็นไปได้ – เทคนิคผู้ชายการมี Sex กับผู้หญิงหลายๆคนพร้อมกัน

ทำอย่างไรให้เราสามารถนอนกับผู้หญิงหลายๆคนได้พร้อมกัน โดยผู้หญิงรู้สึกดีกับข้อเสนอนี้แบบไม่รู้สึกหึงหวง

หากเราได้เสพย์หนังโป๊ (Porn) มันจะมีบางหมวด ที่เป็นหนังโป๊แบบ ผู้ชายมีเพศสัมพันธุ์กับผู้หญิงครั้งละหลายๆคน โดยผู้หญิงแต่ละคนมีความหื่นกระหาย

จากที่ได้รับรู้ insight ของการจัดจ้างนักแสดง คือเขาเอาคนที่มีชีวิตแบบนี้และมีมุมมองนี้เป็นเรื่องปกติ โดยค่าจ้างก็เทียบเท่าการแสดงหนังโป๊แบบอื่นๆ พูดง่าย นักแสดงหญิงนั้น มีประสบการณ์การใช้ชีวิตคู่ครองในแบบ 1 – หลายคนอยู่แล้ว

จากประสบการณ์ส่วนตัว การ Deal ผู้หญิง ให้ตกมาเป็นสาวยนเตียงของเรา นั้นทำได้ไม่ยาก แต่อาจต้องใช้เวลา และการศึกษาอยู่นานพอสมควร

ต้องมองตนเองก่อนว่าชอบแบบไหนกันแน่

  1. คุณเป็นแค่ผู้ชาย ที่มีแต่ความเจ้าชู้รักสนุก แบบฟันแล้วทิ้งเพื่อสนองความใคร่แบบอิสระ
  2. หรือ คุณอยากมีความสัมพันธุ์แบบ หลายๆคนพร้อมกัน ด้วยความจริงใจ

ถ้าเป็นอย่างที่สอง ผมสามารถช่วยคุณได้อย่างได้ผล

วิธีการทำให้ผู้หญิงยอมรับการมีเพศสัมพันธ์กับคุณได้ครั้งละหลายๆคน

  1. ผู้หญิงต้องไม่รู้สึกผิดเมื่อมี sex กับคุณพร้อมกันกับผู้หญิงคนอื่นๆ
  2. ผู้หญิงต้องไม่รู้สึกหึงหวง
  3. polygamous vs polygynous
  4. ต้องรู้ intent ของผู้หญิงที่จะมามีประสบการณ์มีเพศสัมพันธุ์กับคุณพร้อมคนอื่นๆ
  5. เข้าใจปัยหษทางจิตใจ และการปล่อยปล่อยที่เท่าเทียม
  6. เงินไม่ใช่คำตอบ แม้ไม่มีเงิน
  7. เทคนิคการเปิดตาที่สาม ศาสตร์แห่งการอ่านใจตนเอง และ สัญชาตญาณสัตว์

เงื่อนไข คร่าวๆ ที่ควรนำไปใช้

  1. ควรหาผู้หญิงที่อ่อนกว่าเรามากๆ อย่างน้อย 7 ปีขึ้นไป
  2. มีการสนทนาที่มีการเปิดกว้างความความคิด และมีการแลกเปลี่ยนที่เป็นทัศนะคติที่ดี
  3. มีกิจกรรมการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณ

เข้าใจ Concept ชีวิตเรื่องของ การมี sex หลายๆคน

  1. Polygamy –นิยามนี้เป็นคำกว้างสำหรับกลุ่มคนที่ไม่ได้มีชีวิตแบบผัวเดียวเมียเดียว
  2. Polygyny – เป็นนิยามของการที่ผู้ชาย 1 คนมีเมียได้หลายๆคน
  3. Polyandry – นิยามของ หญิง 1 คน มีสามีได้หลายๆคน
  4. Polygynandry – เป็นนิยามของ ผู้หญิงหลายๆคน มีผู้ชายหลายๆคน ทั้งหมดใช้ชีวิตร่วมกัน
  5. Polyamory – หรือ พหุรัก ความสัมพันธ์ที่บุคคลหนึ่งมีความรักหรือความผูกพันทางโรแมนติกกับคนหลายคนพร้อมกัน โดยที่ทุกคนในความสัมพันธ์รับรู้และยินยอม

หากสนใจเริ่มต้นความสัมพันธ์ ที่จะมี Sex แบบหลายๆคนพร้อมกันบนเตียงเดียวกันหรือสถานที่เดียวกัน อย่างไม่มีใครรู้สึกผิด และเป็นความสมัครใจยินยอมร่วมกัน

 

คุณสามารถเข้ามาศึกษ

สังคม สวิงกิ้งในประเทศไทย – โลกลับๆ แห่งความมั่งคั่ง

ลองคิดพิจารณาแล้ว การได้มาของ Sex แบบไม่จำกัด

กฏเกณฑ์ของลัทธิใต้ดินพวกนี้ ที่คุณต้องจำให้ขึ้นใจ

  • สำคัญที่สุดคือ ปกปิดตัวตนของตนเอง
  • รักษาความลับ
  • ปกปิดร่องรอยของ identity ของผู้อื่น อย่างตระหนักทราบ

สุดท้ายที่เรามองเห็นในลัทธินี้ ทุกคนจะใส่หน้ากากเข้าหากัน นั่นหมายถึง การสื่อถึงสัญลักษณ์ว่า ในสังคมของวงการนี้ เป็นเรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ ที่เอาไว้ซ่อนตัวตนของตนเอง

แม้ว่า สุดท้ายแล้ว กลุ่มคนที่ผ่านการคัดเลือก เพียงไม่กี่คน ก็เข้าไปถึงชั้น พิรามิดบนๆ นั้นจะได้ถอดหน้ากากกัน เราเจอสัจจะธรรมว่า เนื้อแท้แล้ว เราเพียงมีแค่อัตตา

คนที่อุทิศให้กับวงการสวิงกิ้งในประเทศไทย เป็นเพียงการสนองตัณหา กิเลส เบื้องลึกในก้นบึ้งแห่งจิตใจ เราสามารถเข้าไปเรียนรู้ ความดิบแท้เดิมในนั้นได้ แต่สิ่งที่เราคิดคือ เราควรรู้จักวาง

เมื่อเราได้เรียนรู้แล้ว ก็ถอนตัวออกจากวงการ แล้วมาถ่ายทอดบอกต่อ ให้บุคคลที่กำลังสนใจ ได้ลองพิจารณาตนเอง หากว่ากำลังค้นหาตัวตน คุณเองสามารถมาทดลอง เข้าวงการนี้ ได้โดย ติดต่อที่

สำรวจตนเองว่าเป็นพวก Exhibitionist หรือเปล่า – ขุดลึกถึง Sexual Kink

คุณรู้สึกดีและประทับใจอย่างสุดๆไหม ? โดยที่ว่า คุณมีความรู้สึกตื่นเต้นมากๆ หรือเปี่ยมด้วยพลัง ขณะที่คุณได้ยืนแก้ผ้าเปลือยกายอยู่ต่อหน้าคู่รัก หรือใครสักคนที่คนกำลังจะมีเพศสัมพันธุ์ด้วย ถ้าคำตอบของคุณคือ”ใช่” นั่นแสดงถึงคุณกำลังมีแนวโน้มที่จะเป็น Exhibitionist ในที่นี้ เราจะสำรวจและให้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เกี่ยวกับการเป็น Exhibitionist

Exhibitionism คืออะไร ?

Exhibitionist คือเมื่อบุคคลรู้สึกตื่นเต้นทางเพศจากการจินตนาการว่าตนเองถูกมองขณะเปลือยกาย หรือ มีเพศสัมพันธ์ หรืออาจจะมาจากการถูกมองขณะเปลือยกายหรือมีเพศสัมพันธ์จริง ๆ” อธิบายโดย Indigo Stray Conger นักบำบัดทางเพศที่ได้รับการรับรองจาก AASECT (LMFT, CST)

ที่สำคัญคือ ความชอบในลักษณะนี้ที่เป็นไปโดยความยินยอมแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาวะทางจิตที่เรียกว่าโรค Exhibitionist ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีอารมณ์ทางเพศที่รุนแรงและเกิดขึ้นซ้ำ ๆ จากการเปิดเผยอวัยวะเพศให้ผู้อื่นที่อย่างฉับพลัน โดยส่วนใหญ่มักเป็นคนแปลกหน้า Stray Conger กล่าวว่า ความแตกต่างที่สำคัญอยู่ที่การขาดความยินยอมและความทุกข์ทรมานที่บุคคลอาจรู้สึกเกี่ยวกับความต้องการของตนเอง

Exhibitionist ที่ดีต่อสุขภาพ เป็นการเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ความเร้าอารมณ์ ที่มีทัศนคติทางเพศเชิงบวก และไม่ควรถูกสับสนกับโรค Exhibitionist” เธอกล่าว

Stray Conger กล่าวว่าความปรารถนาที่จะถูกผู้อื่นมองในระหว่างกิจกรรมทางเพศนั้นเป็นจินตนาการที่พบบ่อยมาก โดยจากการศึกษาล่าสุดที่อ้างถึงโดย Zhana Vrangalova, Ph.D., ศาสตราจารย์ด้านเพศศึกษามนุษย์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กและผู้เชี่ยวชาญของ LELO พบว่า “66% ของผู้ชายและ 57% ของผู้หญิงจินตนาการถึงการมีเพศสัมพันธ์ในที่สาธารณะที่เปิดเผย และ 82% ของทั้งสองเพศจินตนาการถึงการมีเพศสัมพันธ์ในสถานที่ที่ ‘ไม่ธรรมดา’ เช่น สำนักงาน ห้องน้ำสาธารณะ เป็นต้น”

“พวกเราส่วนใหญ่มีลักษณะของ Exhibitionist เล็กน้อย ซึ่งเหมือนกับสิ่งอื่น ๆ ในจิตวิทยาที่มีการดำรงอยู่บนขอบเขต และมันเป็นเรื่องปกติและดีต่อสุขภาพ” Vrangalova กล่าวเสริม

แม้ว่าการทำให้จินตนาการเหล่านั้นเป็นจริงจะพบน้อยกว่า แต่ก็ยังเกิดขึ้นบ่อยในกลุ่มชุมชนที่มีความชอบสวิงกิ้งหรือไลฟ์สไตล์เช่นนี้ Stray Conger กล่าว

สัญญานต่างๆต่อไปนี้ ที่บ่งบอกได้ว่าคุณอาจเป็นพวกชอบโชว์

1. คุณมีความรู้สึกสุขสันต์เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองอยู่

 

บทความนี้ถอดบทความมาจาก : https://www.mindbodygreen.com/articles/exhibitionism

จักระและการรู้จักธรรมชาติของตัวเอง

การรู้จักและเข้าใจตนเอง มีข้อดีคือ การรู้ว่าตนเป็นอย่างไรมีจุดเด่นจุดด้อยอะไร และเมื่อกาย หรือใจ ไม่สบาย ก็สามารถรู้ทันและเยียวยาตนเองได้ นอกจากนั้นเมื่อเรารู้จักและ เข้าใจตนเองแล้วย่อมทำให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้และเข้าใจยอมรับผู้อื่นได้เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีในทุกมิติของชีวิต ดังนั้น การทำความรู้จักจักระภายในจึงเป็นหลักการง่าย ๆ ที่ใช้อย่างแพร่หลายในการทำความรู้จักทั้งร่างกาย

จักระ (Chakra) ในภาษาสันสกฤตหมายถึง “วงล้อ” หรือ “การหมุน” เป็นแนวคิดในปรัชญาตะวันออกที่เชื่อว่าเป็นศูนย์กลางพลังงานภายในร่างกายของมนุษย์ จักระเหล่านี้เชื่อมโยงกับอวัยวะ ระบบประสาท และต่อมไร้ท่อ โดยแต่ละจักระจะสอดคล้องกับอวัยวะบางส่วน อารมณ์ และความสามารถเฉพาะตัว การทำความเข้าใจและปรับสมดุลจักระจึงเป็นการเดินทางสู่การรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้งและการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ

มนุษย์ทุกคน มีจักระอยู่ 7 จุด ซึ่งมีสี และความหมาย ดังต่อไปนี้

  1. จักระราก เรียกว่า มูลาธาระจักระ (Root Chakra): ตั้งอยู่ที่ฐานกระดูกสันหลัง มีสีแดง สื่อถึงความมั่นคง รากฐาน และความเชื่อมโยงกับโลกวัตถุ
  2. จักระเพศ เรียกว่า สวาธิษฐานจักระ (Sacral Chakra): อยู่ที่บริเวณท้องน้อย มีสีส้ม เกี่ยวข้องกับความรู้สึกทางเพศ ความสร้างสรรค์ และอารมณ์
  3. จักระท้อง มณีปุระจักระ (Solar Plexus Chakra): อยู่ที่บริเวณท้อง มีสีเหลือง สื่อถึงพลัง อำนาจ ความมั่นใจ และการควบคุมตนเอง
  4. จักระหัวใจ เรียกว่า อานาฮาตะจักระ (Heart Chakra): อยู่ที่กลางอก มีสีเขียว สื่อถึงความรัก ความเมตตา การให้อภัย และการเชื่อมโยงกับผู้อื่น
  5. จักระคอ เรียกว่า วิศุทธิจักระ (Throat Chakra): อยู่ที่ลำคอ มีสีฟ้า สื่อถึงการสื่อสาร การแสดงออก และความจริงใจ
  6. จักระตาที่สาม เรียกว่า อัชญาจักระ (Third Eye Chakra): อยู่ระหว่างคิ้ว มีสีม่วง สื่อถึงปัญญา สัญชาตญาณ และการรับรู้ภายใน
  7. จักระมงกุฎ เรียกว่า สะหัสราจาระ (Crown Chakra): อยู่ที่ยอดศีรษะ มีสีขาวหรือม่วงอ่อน สื่อถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล การตรัสรู้ และจิตวิญญาณ

เมื่อจักระเกิดความไม่สมดุล อาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางร่างกาย อารมณ์ และสภาพจิตใจ เช่น ปวดเมื่อย ป่วยง่าย อารมณ์แปรปรวน กังวล หดหู่ หรือขาดความมั่นใจ การปรับสมดุลจักระจึงเป็นวิธีหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ การปรับสมดุลจักระจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการใช้ชีวิตโดยรวม อันครอบคลุมถึงสุขภาพ ความสัมพันธ์ ความก้าวหน้าในอาชีพการงาน และความสำเร็จในระยะยาว เมื่อจักระทั้ง 7 ขาดสมดุลไป สามารถฟื้นฟูได้ด้ยการปรับสมดุลของจักระหลาย ๆ จุดไปพร้อมกัน โดยมีวิธีเบื้องต้นที่ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

วิธีการปรับสมดุลจักระ

  • การฝึกสมาธิ ช่วยให้จิตใจสงบและเชื่อมต่อกับพลังงานภายใน
  • การออกกำลังกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังงาน
  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงร่างกาย และส่งเสริมการทำงานของจักระโดยตรง
  • การใช้คริสตัล เชื่อว่ามีพลังงานที่สอดคล้องกับจักระบางชนิด สามารถเสริมการทำงานจักระได้
  • การทำโยคะ ช่วยเปิดช่องพลังงาน
  • การฟังเสียงบำบัด เช่น เสียงร้องของนก เสียงคลื่น หรือเสียงดนตรี ช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย

 

การเชื่อมต่อกับธรรมชาติ

จักระเป็นสะพานเชื่อมระหว่างร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ การปรับสมดุลจักระจึงเป็นการเชื่อมต่อกับธรรมชาติและจักรวาลอันยิ่งใหญ่ การใช้เวลาอยู่ในธรรมชาติ การสัมผัสแสงแดด ลม และน้ำ ช่วยให้เราได้รับพลังงานจากธรรมชาติและส่งเสริมการรักษาสมดุลของจักระ

จักระเป็นแนวคิดที่น่าสนใจและมีประโยชน์ในการเข้าใจตนเองและพัฒนาตนเอง การศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับจักระไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้เราค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเรา และเชื่อมต่อกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา

การทำความเข้าใจและปรับสมดุลจักระ นอกจากจะช่วยให้เรารู้จักตัวเองได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นแล้ว ยังนำมาซึ่งประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ดังนี้

  1. การพัฒนาตนเอง

การเชื่อมโยงอารมณ์กับจักระ ทำให้เราเข้าใจที่มาของความรู้สึกต่างๆ ได้ดีขึ้น และสามารถจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมเมื่อจักระที่เกี่ยวข้องกับความมั่นใจสมดุล เราจะรู้สึกมั่นคงในตัวเอง และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น

  1. การรักษาสุขภาพ

การทำสมาธิเพื่อปรับสมดุลจักระ ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล เมื่อจักระสมดุล ร่างกายและจิตใจจะผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น พลังงานที่ไหลเวียนอย่างสมดุล ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ตลอดจนอาจช่วยบรรเทาอาการป่วยบางอย่าง เช่น ปวดหัว ปวดท้อง หรืออาการปวดเรื้อรังบางอย่างได้

  1. การพัฒนาจิตวิญญาณ

การทำสมาธิเพื่อเข้าถึงจักระ ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับจิตใต้สำนึกและค้นพบความจริงภายใน จักระที่เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณ เมื่อสมดุล จะช่วยให้เรามีสัญชาตญาณที่แม่นยำมากขึ้น การเชื่อมต่อกับจักระมงกุฎ ทำให้เราตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

แม้ว่าแนวคิดเรื่องจักระจะมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและปรัชญาตะวันออกมาอย่างยาวนาน แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันการมีอยู่ของจักระอย่างชัดเจน อีกทั้งการศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับจักระ ควรเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเอง ไม่ใช่การหาคำตอบหรือความเชื่อที่ตายตัว หากแต่การรับด้านที่ดีของหลักการนี้มาพัฒนาตนเอง โดยที่ไม่ทำร้ายใคร ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ในทางสุขภาพและจิตใจเป็นอย่างยิ่ง

การฮีลลิ่งแบบ Naturalism โดยอิงตามธาตุประจำร่างกาย

การฮีลลิ่ง Healing เป็นการบำบัดร่างกายที่เน้นด้านสุขภาพ หากปฏิบัติคู่กับแนวทางของ Naturalism ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่เน้นการใช้ธรรมชาติ โดยเน้นการปรับสมดุลของร่างกายตามธาตุประจำตัว ตามแนวคิดที่มีรากฐานมาจากการแพทย์แผนไทย, การแพทย์แบบอินเดีย หรือที่เรียกว่าอายุรเวท จะทำให้ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ

โดยการแพทย์แผนไทย เชื่อว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ (อายุรเวทอินเดียมีเพิ่มเติมเป็น ธาตุที่ 5 คือ อากาศธาตุ) เพื่อง่ายต่อการจำแนก และความคุ้นเคยของคนไทย ขอกล่าวในหลักการแพทย์แผนไทย มา ณ ที่นี้ โดยการรักษาและการดูแลสุขภาพด้วยการปรับสมดุลของธาตุมีหลักการเบื้องต้น ดังนี้

การดูธาตุประจำร่างกายแบบเดือนเกิด

  • ธาตุดิน: ผู้ที่เกิดในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม 
  • ธาตุน้ำ: ผู้ที่เกิดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 
  • ธาตุลม: ผู้ที่เกิดในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน 
  • ธาตุไฟ: ผู้ที่เกิดในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม 

การปรับสมดุลธาตุด้วยการบำบัดแบบ Naturalism

การปรับสมดุลธาตุในร่างกายสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเลือกกินอาหารที่เหมาะสมกับธาตุ การออกกำลังกาย การทำสมาธิ และการใช้สมุนไพร แนวคิด Naturalism เชื่อว่าการเยียวยาตนเองโดยเชื่อมโยงกับศาสตร์ที่เอาธรรมชาติเป็นที่ตั้งจะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวและบริบูรณ์ เราสามารถนำหลักการทั้ง 4 อย่างที่กล่าวมาข้างต้นมาปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้

  • การกินอาหารเป็นยา

อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยธาตุที่แตกต่างกัน เช่น ผักใบเขียวมีธาตุน้ำสูง ข้าวกล้องมีธาตุดินสูง เนื้อสัตว์มีธาตุไฟสูง เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ธาตุในอาหารจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปรับสมดุลธาตุในร่างกาย หากร่างกายขาดธาตุใดธาตุหนึ่ง การรับประทานอาหารที่มีธาตุนั้นเป็นส่วนประกอบหลัก จะช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกายได้

การเลือกอาหารเพื่อปรับสมดุลธาตุ

  • ธาตุดินไม่สมดุล: อาจมีอาการท้องผูก ปากแห้ง ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุดินสูง เช่น ข้าวกล้อง ผักราก
  • ธาตุน้ำไม่สมดุล: อาจมีอาการบวม น้ำหนักตัวเพิ่ม ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุน้ำสูง เช่น ผักใบเขียว ซุป
  • ธาตุไฟไม่สมดุล: อาจมีอาการร้อนใน แผลในปาก ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุน้ำสูง เช่น ผักใบเขียว
  • ธาตุลมไม่สมดุล: อาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ควรรับประทานอาหารที่มีรสหวานและเค็ม
  • การเลือกประเภทของการออกกำลังกายที่เข้ากับตัวเอง

ธาตุดิน: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นความแข็งแรง เช่น โยคะ ปั่นจักรยาน หรือยกน้ำหนักเบาๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและกระดูก

ธาตุน้ำ: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นความยืดหยุ่น เช่น โยคะ ปีกกา หรือการว่ายน้ำ เพื่อช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและลดความตึงเครียด

ธาตุไฟ: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นการเผาผลาญ เช่น การวิ่ง การเต้นแอโรบิก หรือการฝึกความแข็งแรง เพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น

ธาตุลม: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นการควบคุมลมหายใจ เช่น ไทเก๊ก หรือการทำสมาธิ เพื่อช่วยให้จิตใจสงบและควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น

  1. การทำสมาธิ ช่วยได้ทุกธาตุ ไม่ว่าจะทำแบบไหนก็ตาม โดยแต่ละธาตุอาจมีวิธีการเริ่มต้นไม่เหมือนกัน 

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุดิน: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นความรู้สึกถึงร่างกาย เช่น การนั่งสมาธิแบบวิปัสสนา หรือการทำสมาธิโดยการกำหนดรู้ลมหายใจ การสัมผัสกับพื้นดิน หรือการนั่งสมาธิในธรรมชาติ จะช่วยให้คนธาตุดินรู้สึกเชื่อมโยงกับโลกภายนอกและสงบลง

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุน้ำ: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นความรู้สึกนึกคิด เช่น การทำสมาธิแบบเมตตา การทำสมาธิโดยการจินตนาการถึงภาพที่สวยงาม หรือการฟังเสียงธรรมชาติ จะช่วยให้คนธาตุน้ำรู้สึกผ่อนคลายและปล่อยวางความคิดที่วนเวียนอยู่

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุไฟ: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นการเคลื่อนไหว เช่น ไทเก๊ก หรือการทำสมาธิแบบเดินจงกรม การทำสมาธิที่เน้นการเคลื่อนไหวจะช่วยให้คนธาตุไฟระบายพลังงานส่วนเกินและสงบจิตใจได้

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุลม: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นการจินตนาการ เช่น การทำสมาธิแบบทิเบต หรือการทำสมาธิโดยการ визуализировать (visualize) การทำสมาธิแบบนี้จะช่วยให้คนธาตุลมได้ปล่อยจินตนาการและสงบจิตใจได้

2. การเลือกใช้สมุนไพรที่เหมาะสมกับธาตุประจำตัว (จะให้ดีที่สุดต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของเภสัชกร ซึ่งมีทั้งเภสัชกรในแบบการแพทย์ทางตรงและการแพทย์ทางเลือก)

ธาตุดิน: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสหวาน ช่วยบำรุงธาตุดิน เช่น เห็ดหลินจือ เก๋ากี้ โสม

ธาตุน้ำ: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเค็ม ช่วยบำรุงธาตุน้ำ เช่น หญ้าหวาน ใบเตย

ธาตุไฟ: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว ช่วยดับไฟในร่างกาย เช่น มะขามป้อม มะยม

ธาตุลม: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเผ็ด ช่วยขับลมในลำไส้ เช่น ขิง ตะไคร้

สมุนไพรแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน การเลือกสมุนไพรที่ตรงกับธาตุที่ขาดจะช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกาย เมื่อสมุนไพรเข้ากับธาตุของเรา จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสรรพคุณของสมุนไพรได้ดีขึ้น และควรระวังไว้เสมอว่า การเลือกสมุนไพรที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ คนที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ควรระวังเป็นพิเศษ

ด้วยความเชื่อ ปรัชญา และแนวทางการดำเนินชีวิตของชาว Naturalist หรือปรัชญาแนว Naturalism ที่เน้นการอยู่กับธรรมชาติของตัวเองให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติภายนอกอยู่แล้ว จึงไม่ยากเลยที่จะนำหลักการดี ๆ อย่างการปรับพฤติกรรมตามธาตุประจำตัวไปใช้ นอกจากจะส่งเสริมให้สุขภาพดีแล้ว การศึกษาหลักการแพทย์แผนไทย อินเดีย หรือการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ ที่ลึกซึ้งขึ้น มีความเป็นวิทยาศาสตร์สุขภาพมากขึ้น จะทำให้องค์ความรู้และปรัชญาที่ผสมผสานได้ถูกยอมรับและถ่ายทอดไปในวงกว้างได้อีกด้วย

เพิ่ม Self esteem ตามแนวทางชาว Naturalism

“Naturalism” แปลตรงตัวเลยนั่นก็คือ “ธรรมชาตินิยม” เป็นแนวคิดที่เน้นเรื่องพลังงานตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในทุกสรรพสิ่งบนโลกและนอกโลก รวมถึงพลังงานภายในตัวมนุษย์ด้วย

ธรรมชาตินิยม เป็นทฤษฎีเท่านั้น ไม่ใช่ลัทธิ เพราะไม่ได้เชื่อในผู้สร้าง เทพ หรือต้องมีรูปเคารพอะไรใด ๆ

กล่าวคือ “Naturalism” เป็นแนวคิด ทฤษฎี ที่อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบนพื้นฐานแห่งกฏธรรมชาติ ตามทัศนะหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากแนวคิดเดิมของมนุษย์ที่มีการนับถือผี-เทวดา สิ่งเหนือธรรมชาติ และตามทัศนะดังกล่าว มีการชูแก่นของแนวคิดที่ว่า “ธรรมชาติ” คือความจริงสูงสุด ธรรมชาติย่อมอธิบายได้โดยวิถีทางแห่งการเคลื่อนไหวและพลังงาน ยกตัวอย่างแนวคิดที่เห็นภาพมากขึ้นว่า Naturalism ไม่ใช่ลัทธิใด เช่น คำกล่าวที่ว่า “ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติย่อมเกิดขึ้นเพราะมีการเคลื่อนไหวและกระแสคลื่นแห่งไฟฟ้า” การที่ถูกอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ที่เน้นการพิสูจน์ได้เป็นหลัก จึงมีการเรียกหลักการนี้ว่า “ปรัชญาสัจนิยม” (Realism) ด้วยเช่นกัน 

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า Naturalism และ Realism เป็นแนวคิดสองชื่อเรียกที่มีหลักการและแนวทางปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ธรรมชาตินิยม- Naturalism เชื่อว่า…

  • ทุกสิ่งมีพลังงานในตัว (Self – activating) 
  • ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง (Self – existent) 
  • มีทุกอย่างในตัวเอง (Self – contained) 
  • อาศัยตัวเอง (Self – dependent) 
  • ปฏิบัติการได้ด้วยตนเอง (Self – operating) 
  • มีเหตุผลในตัวของมันเอง (Self – explanatory)

จากตอนแรกที่อธิบายบว่า Naturalism เป็นทัศนะที่ไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ (Anti – supernaturalistic) นั่นคือ การเชื่อว่าปรากฏการณ์ทุก ๆ อย่างเป็นไปตามสภาวะความเกี่ยวพันที่มีต่อกันของเหตุการณ์ทางธรรมชาตินั้น ๆ เอง ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจเหนือธรรมชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นกระบวนการธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง เพราะความประจวบเหมาะด้วยสถานที่ รูปการณ์ และเวลา กล่าวคือธรรมชาตินี้มีโครงสร้างของตนเอง และโครงสร้างนั้นเกิดขึ้นได้เอง ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอำนาจเหนือธรรมชาติ

คีย์เวิร์ดที่สำคัญต่อการเข้าใจแนวคิด Naturalism ได้แก่ ความนิยมวิทยาศาสตร์ (Prescientific) แต่นอกจากสิ่งทั้งหลายที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ณ ปัจจุบันแล้ว Naturalism ยังเชื่อในหลักการของพลังงานที่เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดปัญญา (Intuition) อีกด้วย ซึ่งปัญญา ก็สามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้แล้ว ด้วยหลักการทางด้านควอนตัม เป็นต้น

Naturalism เชื่อว่า “จิตใจ”และสภาวะของจิตใจ ล้วนเป็นปรากฏการณ์ของสมอง ถูกควบคุมด้วยกฎกลศาสตร์ ทางฟิสิกส์ ไม่มีอำนาจริเริ่มด้วยเทพใดดลใจ และจิตใจนั้นก็มีเสรีภาพในตัวเอง ซึ่งในบาสงกลุ่มของผู้ที่มีแนวคิดด้าน Naturalism ก็ต่อต้านการมีอยู่ของการนับถือศาสนาและเรื่องลี้ลับ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีกลุ่มที่เห็นประโยชน์ด้านดีของศาสนา และประนีประนอมในการปรับตัวให้เข้ากับคนกลุ่มอื่นที่ยังนับถือศาสนาและเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องอ่อนไหวและซับซ้อน แต่ละบุคคลมีนิยามในด้านของ Naturalism ที่ต่างกันออกไป จึงทำให้คำเรียก คำนิยามทางการ และความเข้าใจในมุมมองของคนภายนอกที่มองต่อชาว Naturalism มีความแตกต่างกัน

การพัฒนา self esteem ควบคู่ไปกับแนวคิด Naturalism

 self esteem เป็นศัพท์ที่เกี่ยวกับจิตวิทยา แปลได้ว่าเป็น “การเห็นคุณค่าในตัวเอง” หรือไม่ก็ “การนับถือตนเอง” เป็นเรื่องของทัศนคติที่มีต่อตนเองโดยภาพรวม เป็นสภาวะอารมณ์ภายในจิตใจและมุมมองของคนคนนั้นที่มีต่อตัวเอง 

คุณค่าและการนับถือตนเอง คือการสร้างความหมายและนิยามของตนเองที่เป็นส่วนบุคคล มีความเฉพาะตัว และไม่สามารถกำหนดคุณค่าและความนับถือตนเองแทนกันได้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นเห็นอย่างชัดเจน หรือต้องเห็นสอดคล้องเหมือนกับตัวเรา เช่น การมีความแน่วแน่ในความคิดของตัวเอง ชื่นชมตัวเอง และแน่ใจว่าตัวเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร จึงไม่จำเป็นต้องคล้อยตามคนอื่นทุกเรื่อง เป็นต้น

นอกจากนี้ยังคาบเกี่ยวกับเรื่องทักษะและความสามารถของแต่ละบุคคลด้วย  เช่น ผู้ที่มั่นใจในตัวเอง อาจมั่นใจในแง่ที่มาจากความถนัดในทักษะหรือความสามารถด้านใดด้านหนึ่งก็ได้ เช่น ความสามารถในการวาดภาพ การคำนวณ หรือทักษะด้านความแข็งแรงของร่างกาย เป็นต้น

ผู้ที่มี self esteem ใจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ในระดับที่เรียกได้ว่า “มีจุดยืนของตัวเอง” มีอิสระในแนวคิดและการแสดงออก ซึ่งชาว Naturalism มีความชัดเจนในเรื่องนี้ ดังนั้นชาว Naturalism จึงมีจุดแข็งในด้านการรู้จักตนเอง และปรับใช้เพื่อการมีจุดยืนที่สามารถเข้ากลุ่มไปกับสังคมมวลรวมได้ การมี Self-esteem ในระดับที่เพียงพอจะเห็นได้ชัดว่า คนคนนั้นสามารถเคารพความเป็นตัวตนของผู้อื่นได้อย่างสบาย ไม่ฝืนทำ และเป็นธรรมชาติ ดังนั้นจุดเด่นในด้านการพัฒนา self esteem ควบคู่ไปกับการศึกษาแนวคิด Naturalism จึงช่วยให้สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพกับผู้คนรอบข้างได้ ภายใต้พื้นฐานของการรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้ง มีเหตุมีผล เน้นการอธิบายให้เข้าใจ และปล่อยพื้นที่ให้แต่ละคนได้ตกตะกอนทางความคิด และไม่ได้เกิดการครอบงำบงการ ที่ใช้ความกลัวในสิ่งที่อธิบายไม่ได้มาเป็นเครื่องมือนั่นเอง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเกริ่นนำให้เข้าใจความเชื่อมโยงในเบื้องต้นเท่านั้น หากแต่แก่นสำคัญของ Naturalism ที่นำไปใช้พัฒนา Self esteem ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ยังไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างเจาะลึกในบทความนี้ จึงอยากให้ทุกคนได้ติดตามบทความอื่น ๆ ในเว็บไซต์และกลุ่มของเรา เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาตนเองต่อไป

Human design ศาสตร์ที่มาแรงด้านการรู้จักตนเอง

มนุษย์ทุกคนขับเคลื่อนชีวิตด้วยความกลัว และความกลัวทำให้เราต่างก็ต้องกระเสือกกระสนในการพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อเอาชีวิตรอด! แต่ในแก่นของการพัฒนาจิตวิญญาณ ต่างก็กล่าวว่า “มนุษย์ควรอยู่เหนือจุดที่ใช้ความกลัวมาขับเคลื่อนชีวิต จึงจะเกิดการพัฒนาที่ก้าวกระโดด และได้รับความโชคดี” 

วิทยาศาสตร์ควอนตัม และพลังงาน ก็เช่นกัน

หากใครที่ศึกษากฎแห่งแรงดึงดูด กฎการสั่นสะเทือน หรือกฎแห่งจักรวาลทั้งหลายมาแล้วบ้าง ก็จะพอเข้าใจ และพอจะเดาได้ว่า กฎแห่งจักรวาลเหล่านี้ สามารถนำมาใช้เชื่อมโยงกับแนวคิดมนุษย์นิยม (Naturalism) ได้อย่างประสานสอดคล้องกัน 

ด้วยความที่แนวคิด Naturalism ที่ยึดหลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นแก่นหลัก ดังนั้น หลักฟิสิกส์ควอนตัมจึงเป็นหัวใจสำคัญในการศึกษาเรื่องนี้ ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับควอนตัมก็ได้กล่าวถึง “พลังงาน” และ “คลื่นความถี่” พร้อมกับการเชื่อมโยงอย่างมีเหตุมีผลเข้ากับประสิทธิภาพของสมองและจิตใจของมนุษย์

องค์ประกอบของศาสตร์ที่ว่าด้วยธรรมชาติของมนุษย์

ศาสตร์ที่เรียกว่า Human design ก็มีกลิ่นอายของมนุษย์นิยมเช่นกัน และยังเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยพลังงาน เป็นหลัก มีหลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายถึงเบื้องหลังของการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานโลก จักรวาล และมนุษย์ การใช้ Human design เพื่อพัฒนาตนเองจึงสอดคล้องกับหลักการ Naturalism ไปด้วยในตัว จึงถือได้ว่า  Human design เป็นองค์ประกอบหลักของธรรมชาตินิยมและสัจนิยม

ในบทความนี้เราจะยังไม่ลงลึกมากนัก ถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อน อีกทั้งหลักปรัชญาทางจิตวิญญาณที่ต้องทำความเข้าใจเป็นเวลานานในการตกตะกอนทางความคิด ความเชื่อ ก็จะไม่ได้ถูกกล่าวถึงเช่นกัน แต่เราจะกล่าวแค่เพียงเพื่อให้ทุกคนที่อ่าน ได้รับรู้และทำความรู้จักกับ Human design และประโยชน์ของสิ่งนี้ในเบื้องต้นเท่านั้น

กล่าวคือ จุดประสงค์หลักของบทความนี้ เพียงเพื่อให้ได้ผู้อ่านได้ลิ้มรสความลึกลับน่าค้นหาของศาสตร์ Human design และสร้างความเชื่อมโยงของการนำไปใช้ให้มีประสิทธิภาพนั่นเอง

เมื่อกล่าวถึงศาสตร์ Human design หลายคนอาจรู้จักมาบ้างแล้ว ในทางที่เกี่ยวกับศาสตร์แห่งการทำนาย โหราศาสตร์ และการอ่านไพ่ แต่ ณ ที่นี้ อยากให้หลายคนได้มีการเชื่อมโยงแนวคิดเข้ากับ Naturalism ในแง่ของการฟื้นฟูพลังงาน ศึกษาแก่นพลังงานของตนเอง และนำไปสู่การรู้จักตนเองอย่างทะลุปรุโปร่งในที่สุด

สิ่งที่อยากแนะนำให้รู้จักถึง Human design ในเบื้องต้น มีดังต่อไปนี้…

Human Design เป็นศาสตร์สมัยใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม ทั้งในฟากตะวันตกและรวมถึงประเทศไทย ก็นับว่าเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียเช่นกัน 

Human design เป็นศาสตร์ที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง เพื่อพัฒนาทั้งชีวิตทางกายภาพและจิตใจ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการค้นพบ “พิมพ์เขียว” ด้านพลังงานเฉพาะบุคคล ที่มาของศาสตร์นี้ มาจากการผสมผสานองค์ประกอบของโหราศาสตร์ 4 ศาสตร์เข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นให้แต่ละปัจเจกบุคคลได้เข้าถึงลักษณะภายนอก ภายใน จุดแข็ง และข้อจำกัดของตัวเองอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เริ่มแรกอยากกล่าวถึงการแบ่งประเภทมนุษย์แบบคร่าว ๆ ตามพลังงานของแต่ละคนก่อนเลย ซึ่งขอบอกขยายความอีกนิดหน่อยว่า ศาสตร์นี้มีการแบ่งประเภทของมนุษย์ในแบบที่หลากหลายและครอบคลุมกว่านี้มาก ซึ่งที่ยกตัวอย่างมานี้ถือว่าเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น 

ขยายความด้านที่มาที่ไปของศาสตร์นี้ ให้รู้สึกขลังมากขึ้น

Human Design Chart มีชื่ออื่นว่า “BodyGraph” เป็นเครื่องมือที่กล่าวได้ว่าเป็นการรวมกันของโหราศาสตร์ ไอจิง (I Ching) คาบาลา (Kabbalah) และรูปแบบของจักระศีรษะของฮินดู-พราหมณ์ (Hindu-Brahmin chakra model) และฟิสิกส์ควอนตัม เพื่อให้เกิดเป็น Chart ที่ต่างกันออกไปของแต่ละบุคคล กล่าวได้ว่า 1 คนมี 1 Chart เป็นของตนเองโดยแท้จริง ที่นอกจากจุดอ่อนจุดแข็งในด้านตัวตนของบุคคลแล้ว ยังกล่าวถึงความท้าทายในการดำเนินชีวิต แนวโน้มความเป็นไปในแต่ละช่วงอายุ และเส้นทางที่เป็นไปได้ในชีวิตทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายจากไป 

ทุกอย่างของ Himan design และการแบ่งประเภทของมนุษย์ในแบบต่าง ๆ ดำเนินภายใต้พื้นฐานแนวคิดด้านพลังงาน และมีส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์ควอนตัมรองรับ เมื่อเป็นการบรรจบกันของศาสตร์โบราณที่เร้นลับ กับวิทยาการสมัยใหม่ด้านฟิสิกส์ จึงเป็นอะไรที่น่าค้นหา และน่าทดลอง โดยการลองนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเป็นอะไรที่ท้าทายและปรับใช้ง่าย จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

Human design Chart เป็นแผนภูมิมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ขึ้นอยู่กับเวลา วันที่ และสถานที่เกิดที่แน่นอนของคนหนึ่งคน หลักการคำนวณจะคล้ายกับโหราศาสตร์ไทย และเมื่อคำนวณมาได้แล้วจะได้หน้าตาแบบในภาพ

human design02

อธิบายเบื้องต้นได้ว่า แผนภูมิ Human design ของแต่ละคน ประกอบด้วยศูนย์กลางเก้าแห่ง ช่องสัญญาณสามสิบหกช่อง และประตูหกสิบสี่ช่อง ศูนย์เป็นตัวแทนของพลังงานประเภทต่างๆ ภายในบุคคล มีการเปิดและปิด ประตูคือการบอกทิศทางการเคลื่อนไหวของพลังงานภายใน แต่ละฐานของพลังงานมีความสำคัญที่แตกต่างกัน Channels เชื่อมต่อสองศูนย์และเป็นพลังงานชีวิตของ BodyGraph

ตัวอย่างของหลักการแบ่งประเภทตามพลังงานของมนุษย์ 

ศาสตร์ Human Design กล่าวถึง 5 ประเภท ของพลังงานที่ส่งเสริมโดยตรงต่อสไตล์ของแต่ละกระบวนการพัฒนาตนเอง โดยมีความง่ายและตรงจุดประสงค์ของแต่ละบุคคล และสามารถนำไปปรับใช้ได้เลย ดังนี้

  1. Generator: ผู้ผลิตและนักสร้างสรรค์ ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยหัวใจและอารมณ์
  2. Manifestor: นักเคลื่อนไหว ผู้ที่ต้องมั่นใจในเส้นทางที่เลือก พร้อมกับจุดยืนที่ชัดเจน
  3. Manifesting Generator: ผู้เป็นทรัพยากรของโลก เป็นคนที่มีพลังงานที่มีความสามารถในการทำได้หลายอย่าง และชอบทำอะไรด้วยตัวเอง
  4. Projector: ผู้ชี้ทาง  มีพลังงานเพื่อเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่น และช่วยเหลือผู้อื่น
  5. Reflector: ผู้ฟังและรับอิทธิพล เป็นผู้ที่ต้องเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นกระจกสะท้อนให้กับผู้อื่น 

นอกจากนี้ Humandesign ยังมีหลักการอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น  Gates Cannels และ profile ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ด้านการพัฒนาศักยภาพร่างกาย การทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้งจิตวิญญาณและปัญญาญาณของแต่ละบุคคลอีกด้วย การทำความเข้าใจแผนภูมิการออกแบบโดยมนุษย์เกี่ยวข้องกับการเข้าใจไดนามิกของศูนย์กลาง ช่องสัญญาณ และประตูเหล่านี้ พร้อมด้วยองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ประเภท กลยุทธ์ อำนาจหน้าที่ และโปรไฟล์ ส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อให้มีมุมมองแบบองค์รวมของการออกแบบของบุคคล โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปสู่การตัดสินใจด้วยตนเอง

เกริ่นมาเพียงเท่านี้อาจจะยังมีความซับซ้อนอยู่ แต่อยากให้ทุกคนติดตามในบทความถัดไปที่ได้เขียนเจาะลึกและเชื่อมโยงถึงการนำไปใช้ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น จะทำให้รู้สึกสนุกกว่านี้ในการศึกษาตัวเองผ่านศาสตร์แห่งการเข้าใจตนเองอย่าง Human design มากขึ้น