[Job] หางาน – งานเสริม (Part time) งานกลางคืน | งานเที่ยว – ร้องคาราโอเกะ Entertainer

งานเสริมรายได้ดี

งานเสริมรายได้ดี

  • งานกลางคืน
  • งานเด็กเอ็น (N)
  • งานร้านคาราโอเกะ
  • งานนวด
  • งานนางแบบ
  • กิน เที่ยว ดื่ม
  • งาน VIP

รับสมัคร สาวสวย ที่กำลังมองหางานเสริมรายได้ดี รายได้ไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทต่อเดือน

งานเสริม ทำตอนกลางคืนหลังเลิกงาน ธุรกิจเสริม งานอิสระ ไม่ต้องออกจากงานประจำ

ใครที่กำลังหางาน หารายได้เสริม เงินดี ให้ติดต่อสอบถามมาทาง LINE ได้เลย แอดไลน์คุยกัน

ติดต่อทาง Line

การเป็น Naturist : ยอมรับในธรรมชาติของ Body ไม่ใช่ความงามที่สมบูรณ์แบบ

เป็นเรื่องธรรมดามากที่หลายคนจะรู้สึกกังวลเรื่องรูปร่างหน้าตาเมื่อคิดจะเข้าร่วมชมรม Naturist หรือลองสัมผัสวิถีชีวิตแบบเปลือยกาย (Nudism/Naturism) ความรู้สึกเหล่านี้เกิดจากมาตรฐานความงามที่สังคมกำหนดไว้ ซึ่งมักจะเน้นย้ำถึงความสมบูรณ์แบบที่อาจไม่ใช่เรื่องจริงสำหรับทุกคน

อย่างไรก็ตาม หลักการสำคัญของ Naturism ไม่ได้เกี่ยวกับการมีรูปร่างที่สวยงามน่าหลงใหลเลยแม้แต่น้อย แต่เน้นที่การยอมรับในธรรมชาติของร่างกาย การปลดปล่อยตัวเองจากข้อจำกัดทางสังคม และการเคารพซึ่งกันและกัน นี่คือแนวทางที่คุณสามารถนำเสนอเพื่อช่วยให้เขาเข้าใจและมั่นใจมากขึ้น:

1. ทำความเข้าใจแก่นแท้ของ Naturism: การยอมรับในธรรมชาติ

Naturism คือวิถีชีวิตที่เน้นการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน รวมถึงการยอมรับร่างกายตามธรรมชาติโดยไม่มีเสื้อผ้าปกปิด โดยมีหลักคิดดังนี้:

  • อิสระจากการถูกตัดสิน: ในพื้นที่ของ Naturist ผู้คนมักจะวางการตัดสินเรื่องรูปร่างหน้าตาหรือความสมบูรณ์แบบลง ความสำคัญคือการเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง การเปลือยกายในบริบทนี้คือการปลดปล่อยจากความรู้สึกอึดอัดที่เกิดจากเสื้อผ้าและมาตรฐานทางสังคม

 

  • ความเสมอภาค: เมื่อทุกคนเปลือยกาย ไม่มีเสื้อผ้าแบรนด์เนม หรือเครื่องประดับที่บ่งบอกฐานะ ทุกคนจะอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกัน ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งและยอมรับซึ่งกันและกันมากขึ้น

 

  • การเชื่อมโยงกับธรรมชาติ: การเปลือยกายเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายได้สัมผัสกับแสงแดด สายลม และน้ำอย่างเต็มที่ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง

2. รูปร่างที่หลากหลายคือเรื่องปกติ: ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ

เมื่ออยู่ในพื้นที่ของ Naturist คุณจะสังเกตเห็นว่าผู้คนมีรูปร่าง อายุ และลักษณะทางกายภาพที่หลากหลายอย่างแท้จริง:

  • ทุกคนมีเอกลักษณ์: ไม่มีใครมีรูปร่างที่ “สมบูรณ์แบบ” ตามที่สื่อนำเสนอ ทุกคนมีรอยแผลเป็น รอยแตกลาย รูปร่างที่แตกต่างกัน และนี่คือความปกติของมนุษย์
  • ยอมรับความแตกต่าง: การได้เห็นร่างกายที่หลากหลายจะช่วยให้เกิดการยอมรับในความแตกต่างทางกายภาพมากขึ้น ทั้งของผู้อื่นและของตัวเอง มันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ตระหนักว่า “ร่างกายของฉันก็เป็นปกติเหมือนกัน”

 

  • โฟกัสที่การกระทำ ไม่ใช่รูปลักษณ์: ในชมรม Naturist ผู้คนจะให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมร่วมกัน การพักผ่อน การพูดคุย และการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน มากกว่าการจ้องมองหรือตัดสินรูปลักษณ์ของผู้อื่น

3. เปลือยกายในวิถีของ Naturist: ความเคารพและความสบายใจ

การเปลือยกายในวิถี Naturist ไม่ได้เกี่ยวกับการยั่วยวนทางเพศ แต่เป็นการใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่มีเสื้อผ้า ซึ่งมีหลักปฏิบัติที่สำคัญคือ:

  • ไม่ใช่เรื่องทางเพศ: สภาพแวดล้อมของ Naturist โดยทั่วไปไม่ใช่พื้นที่ที่เน้นเรื่องทางเพศ การเปลือยกายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการยอมรับธรรมชาติของร่างกาย
  • ความเคารพซึ่งกันและกัน: ผู้เข้าร่วมทุกคนจะถูกคาดหวังให้เคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น ไม่จ้องมอง ไม่ถ่ายรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต และปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม
  • ความสบายใจคือสิ่งสำคัญ: ไม่มีใครบังคับให้คุณรู้สึกสบายใจกับการเปลือยกายได้ทันที การเริ่มต้นอาจค่อยเป็นค่อยไปได้ เช่น ลองในพื้นที่ส่วนตัวก่อน หรือใช้เวลาในการปรับตัวในพื้นที่ชมรมที่ปลอดภัย

มารยาทของ Naturist: มีมารยาทพื้นฐาน เช่น การใช้ผ้าเช็ดตัวปูรองนั่งเมื่อนั่งในพื้นที่สาธารณะ และการรักษาความสะอาด ซึ่งแสดงถึงความเคารพต่อผู้อื่น

 

บทสรุป

“คุณไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างที่สวยงามหรือสมบูรณ์แบบเพื่อเป็น Naturist” สิ่งสำคัญคือการเปิดใจยอมรับในธรรมชาติของร่างกายตนเองและผู้อื่น การให้เกียรติซึ่งกันและกัน และการค้นพบความสบายใจในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากเสื้อผ้า การเข้าร่วมชมรม Naturist เป็นโอกาสที่จะได้สัมผัสกับความรู้สึกอิสระ ความเท่าเทียม และการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่เน้นการยอมรับและเคารพในธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริง

เราควรเริ่มต้นจากการทำความรู้จักกับหลักการเบื้องต้นของ Naturism ให้ดีขึ้น และเมื่อเรารู้สึกพร้อม ก็อาจจะลองไปเยี่ยมชมสถานที่ที่เป็นมิตรกับผู้เริ่มต้น เพื่อสัมผัสบรรยากาศและดูว่าเขารู้สึกสบายใจกับสิ่งแวดล้อมแบบนั้นหรือไม่ การตัดสินใจเป็นเรื่องส่วนตัว และความสบายใจของเขาคือสิ่งสำคัญที่สุด

ทำไมคนเราถึงจน ? – ที่นี่มีคำตอบ พร้อมแนวคิดพัฒนาฐานะให้ดียิ่งขึ้น

คำถามที่ว่า “ทำไมคนถึงจน” เป็นเรื่องซับซ้อนที่มีหลายปัจจัยทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้าง แต่ในแง่ของ จิตวิทยา ความกล้า ความกลัว และการแสวงหาโอกาสให้ตนเอง ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้คนบางคนติดอยู่ในวงจรความยากจนได้ ดังนี้

 

จิตวิทยาที่ส่งผลต่อความจน

  • Scarcity Mindset (ความคิดแบบขาดแคลน): เมื่อคนอยู่ในภาวะขาดแคลน ไม่ว่าจะเป็นเงิน เวลา หรือทรัพยากร มักจะทำให้เกิด “Scarcity Mindset” ซึ่งเป็นกรอบความคิดที่มุ่งเน้นแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทำให้มองไม่เห็นภาพรวมหรือโอกาสในระยะยาว การใช้สมองไปกับการจัดการความขาดแคลนในปัจจุบัน ทำให้ลดความสามารถในการวางแผนอนาคต การตัดสินใจมักจะมุ่งเน้นไปที่การเอาชีวิตรอดมากกว่าการลงทุนเพื่อการเติบโต
  • Self-Efficacy และ Learned Helplessness:
    • Self-Efficacy คือ ความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองที่จะประสบความสำเร็จในสถานการณ์ต่างๆ คนที่มี Self-Efficacy ต่ำ มักจะรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน
    • Learned Helplessness คือ ภาวะที่บุคคลเรียนรู้ที่จะยอมจำนนต่อสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เพราะเคยพยายามแก้ไขแล้วแต่ไม่สำเร็จมาหลายครั้ง ทำให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวังและไม่พยายามอีกต่อไป แม้จะมีโอกาสใหม่ๆ เข้ามา
  • Fatalism (โชคชะตา): การเชื่อว่าชีวิตถูกกำหนดโดยโชคชะตาหรือสิ่งภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ อาจทำให้คนขาดแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เพราะคิดว่าทำอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
  • Social Comparison (การเปรียบเทียบทางสังคม): การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น โดยเฉพาะกับคนที่มีฐานะดีกว่า อาจนำไปสู่ความรู้สึกด้อยค่า ความเครียด และความไม่พอใจในชีวิตของตัวเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและการตัดสินใจทางการเงินได้
  • พฤติกรรมการใช้จ่าย: พฤติกรรมบางอย่างที่เกิดจากปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น การใช้จ่ายเพื่อความสุขชั่วคราว การไม่เก็บออมเงิน หรือการซื้อของลดราคาโดยไม่ได้วางแผน อาจทำให้สถานะทางการเงินไม่ดีขึ้

ความกลัวที่ฉุดรั้ง

ความกลัว เป็นอารมณ์พื้นฐานที่สามารถเป็นได้ทั้งสิ่งกระตุ้นและสิ่งฉุดรั้ง สำหรับคนจน ความกลัวมักจะเล่นบทบาทที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงและก้าวไปข้างหน้า:

  • กลัวความล้มเหลว: เมื่อมีทรัพยากรจำกัด การล้มเหลวครั้งเดียวอาจหมายถึงหายนะ ทำให้คนยากจนมักจะกลัวที่จะลองสิ่งใหม่ๆ หรือเสี่ยงลงทุนในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ
  • กลัวการเปลี่ยนแปลง: การยึดติดกับสิ่งที่คุ้นเคย แม้ว่าจะไม่ดีเท่าที่ควร เพราะกลัวความไม่แน่นอนของการเปลี่ยนแปลง อาจทำให้คนติดอยู่ในสถานการณ์เดิมๆ ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนา
  • กลัวการถูกตัดสิน: ในสังคมที่ให้คุณค่ากับความสำเร็จทางการเงินสูง คนจนอาจกลัวการถูกตัดสินหรือดูถูกจากสังคม หากพยายามแล้วไม่ประสบความสำเร็
  • กลัวที่จะออกจาก Comfort Zone: การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย แม้จะยากลำบาก แต่ก็รู้สึกปลอดภัยกว่าการออกไปเผชิญกับโลกที่ไม่รู้จัก ซึ่งอาจมีโอกาสที่ดีกว่า

ความกล้าและการแสวงหาโอกาสให้ตนเอง

ความกล้า คือสิ่งที่ตรงข้ามกับความกลัว และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้คนสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้:

  • กล้าที่จะเสี่ยง: การกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่อาจมีความเสี่ยง เช่น การเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่ตลาดต้องการ หรือการเปลี่ยนอาชีพ
  • กล้าที่จะล้มเหลวและเรียนรู้: คนที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่กลัวความล้มเหลว แต่จะมองว่าความล้มเหลวเป็นบทเรียนและโอกาสในการปรับปรุง
  • กล้าที่จะลงทุนในตัวเอง: การลงทุนกับการศึกษา การพัฒนาทักษะ หรือการสร้างเครือข่ายสังคม แม้ว่าจะต้องใช้เงินและเวลา แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างโอกาสในระยะยาว
  • กล้าที่จะแสวงหาโอกาส:
    • การมองเห็นโอกาส: คนที่มีความคิดเปิดกว้างและมองหาโอกาสอยู่เสมอ มักจะเห็นช่องทางในการสร้างรายได้หรือพัฒนาตัวเองที่คนอื่นอาจมองข้ามไป
    • การสร้างเครือข่าย: การสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายที่ดี สามารถนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจ การงาน หรือการช่วยเหลือสนับสนุนกันได้
    • การปรับตัว: โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การมีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้คว้าโอกาสที่เกิดขึ้นได้

โดยสรุปแล้ว ความจนไม่ใช่แค่เรื่องของการขาดแคลนเงินทองเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของกรอบความคิดที่ถูกหล่อหลอมจากประสบการณ์ ความเชื่อ และความกลัว การจะหลุดพ้นจากวงจรความยากจนได้นั้น จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยา ปรับเปลี่ยนกรอบความคิดจากความขาดแคลนไปสู่ Growth Mindset (กรอบความคิดที่เชื่อว่าตนเองสามารถพัฒนาได้) และพัฒนา ความกล้า ที่จะเผชิญหน้ากับความกลัว แสวงหาและคว้า โอกาส ให้กับตนเอง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

มนุษย์มีคุณค่าอะไรในโลกใบนี้ ?  

คำถามที่ว่า มนุษย์คู่ควรกับโลกใบนี้หรือไม่เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะอยู่ในวงการปรัชญาและจิต วิญญาณมาอย่างยาวนาน เราสมควรได้รับสิทธิ์ในการดำรงอยู่บนโลกใบนี้จริงหรือ? การมีอยู่ของเราเป็น ประโยชน์หรือเป็นโทษกับสรรพสิ่งรอบตัวเรามากกว่ากัน ในเวลาที่ชีวิตของเรายากลำบากเหลือแสน เราควร พยายามใช้ชีวิตต่อไปถึงแม้จะทุกข์ทน หรือเราควรจะยอมแพ้และทิ้งตัวให้กับความสิ้นหวังไปเลย? เพื่อที่จะตอบ คำถามเหล่านี้ เราจำเป็นต้องสำรวจมิติอันลึกซึ้งในหลาย ๆ แง่มุมทั้งด้านจิตวิญญาณและแนวคิดเชิงอัตถิภาวนิยม (existentialism) เพื่อค้นหาความจริงที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายและคุณค่าของการมีอยู่ของตนเอง  

คำตอบจากความเชื่อดั้งเดิม  

ความเชื่อทางจิตวิญญาณหลายแขนงมองว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง เช่น ใน ศาสนาคริสต์มีความเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างมาอย่างมีความหมายและถูกสร้างขึ้น ตามพระฉายา ของพระผู้เป็นเจ้า(ปฐมกาล 1.27) นั่นแปลว่าในมุมของคนคริสเตียน มนุษย์คือภาพสะท้อนของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ มนุษย์ถูกสร้างขึ้นด้วยความรักและถูกสร้างขึ้นอย่างมีเป้าหมาย ผู้ที่เชื่อและเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ก็จะไม่หวั่นใจกับ คำถามที่ว่าตัวเองเกิดมาทำไม เพราะพระเจ้ามีจุดประสงค์ในการสร้างคุณขึ้นมาอย่างแน่นอน ในศาสนาอิสลาม คัมภีร์กุรอานก็เน้นย้ำเรื่องจุดประสงค์ของการมีอยู่ของมนุษย์ นั่นคือมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับหน้าที่บางอย่าง นั่นคือเพื่อเป็นผู้ดูแลรักษาโลก (คาลิฟะห์) ในศาสนาฮินดูก็มีการพูดถึงอัตมันหมายถึงสภาวะอันเป็นนิรันดร์และ เป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้าโดยจะต้องฝึกฝนผ่านการประพฤติธรรม แต่ก็มีบางศาสนาที่ให้ค่าการมีอยู่ของชีวิตแตก ต่างออกไป เช่น ศาสนาพุทธจะเน้นย้ำถึงข้อจำกัดของมนุษย์ ว่าชีวิตคือความทุกข์ แม้บางขณะที่เรารู้สึกเหมือนมี ความสุขแต่ไม่นานเมื่อความสุขนั้นลดลงเราก็กลับไปเป็นทุกข์อยู่ดี เป็นเช่นนี้วนเวียนเรื่อยไปในแต่ละวินาที แต่ละ นาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี วนไปจนเป็นภพชาติ ศาสนาพุทธมองว่ามนุษย์ถูกพันธนาการด้วยอวิชชา (ความไม่รู้) และอุปทาน (การยึดติด) ศาสนาพุทธจึงไม่ได้ให้ความสนใจที่จะตอบว่าชีวิตคุณมีค่าหรือไม่มีค่า โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งหากจะนำไปวัดค่าด้วยไม้บรรทัดทางโลกแล้ว ศาสนาพุทธยิ่งไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นสักเท่าไร แต่จะสนใจว่าเราจะ สามารถออกจากความปรารถนาและการยึดติดเพื่อไปสู่การตื่นรู้ได้หรือไม่มากกว่า  

ไม่ว่าความเชื่อแขนงต่าง ๆ จะให้คำตอบเรื่องนี้อย่างไร แต่ความเชื่อเหล่านี้ก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงผลผลิตโดยบังเอิญของธรรมชาติ แต่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในเรื่องราวของชีวิตของตัวเอง มนุษยชาติดำรงอยู่เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง นอกจากนี้การที่เรามีชีวิตอยู่ตรงนี้ ยังเป็นโอกาสในการพัฒนาคุณธรรม เช่น ความเมตตา ความอดทน ปัญญา ความรัก ให้กับเพื่อนมนุษย์และสรรพ สิ่งรอบตัวอีกด้วย  

การดิ้นรนเพื่ออยู่รอด  

มนุษย์เกิดมาก็เจอกับความลำบากกันทุกคนไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะลำบากกายเพราะต้องตรากตรำ ทํางานหรือลําบากใจเพราะต้องเจอกับความทุกข์โศกเสียใจ การพยายามเอาชีวิตรอดจากความทุกข์ทั้งหลายนั้น เป็นทั้งภาระอันหนักอึ้งและเป็นคำพยานของเราที่บอกเล่ากับโลกใบนี้ว่าตัวเรานั้นได้ผ่านอะไรมา บางคนอาจให้ ค่าความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากว่ามันทําให้ชีวิตมีค่าเหมือนกระท้อนที่ยิ่งถูกทุบก็ยิ่งหวาน ยิ่งผ่านอะไรมามากก็ ยิ่งมีความหมาย แต่กับบางคนไม่ได้อยากให้ชีวิตมีค่าอะไร แต่แค่อยากมีชีวิตรอดไปในแต่ละวันโดยไม่ต้องเผชิญ กับความทุกข์ใจเกินไปนักก็เท่านั้นเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นคนกลุ่มไหนก็ตาม คุณก็ไม่ได้เลือกได้ ขนาดนั้น เศรษฐกิจกำลังถดถอย ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าวัตถุทางโลกและความสัมพันธ์ที่ตื้นเขิน ต่างคนต่างเย็นชาใส่ กันและกัน ไม่อยากสนใจคนทุกคน แต่ก็อยากถูกสนใจโดยคนทุกคน  

ถ้าทุกอย่างมันยากแบบนั้นแล้วทำไมเรายังอยู่ตรงนี้? หรือเราแค่อยู่ไปวัน ๆ เพราะเรายังไม่ตายอย่างนั้น หรือ? อันที่จริงคำถามนี้ ศาสนามีคำตอบให้คุณไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า อยู่เพื่อ ปกป้องดูแลโลก อยู่เพื่อรัก อยู่เพื่อทําลาย อยู่เพื่อออกจากการเวียนว่ายตายเกิด ฯลฯ คุณเลือกคําตอบที่คุณชอบ ได้เลยเพราะสิ่งเหล่านี้ถูกตอบมาอย่างแข็งแรงแล้วตามหลักเชื่อในแต่ละศาสนา แต่ถ้าคุณไม่พอใจคําตอบเหล่านี้ คุณก็ต้องหาคําตอบของคําถามนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งเราต่างรู้กันว่าการหาความหมายของชีวิตมันเป็นโจทย์ชั่วชีวิต ของคนทุกคน  

ความหมายของชีวิต ท่าตอบจากนักปรัชญา  

นักปรัชญาสายอัตถิภวนิยมได้นําเสนอแนวคิดอีกแบบที่ไม่ต้องหยิบศาสนามาตอบ ปรัชญาสายนี้เกิดขึ้น ในปลายศตวรรษที่ 19 และเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนในศตวรรษที่ 20 โดยมีที่มาจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ในยุโรป เดิมทีโลกตะวันตกผูกคุณค่าของชีวิตกับคริสตศาสนาดังที่พูดถึงไปในข้างต้น แต่เพราะการมาของวิทยาศาสตร์ สงคราม และวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานโดย หาเหตุผลที่มาของความทุกข์ทั้งหมดนี้ไม่ได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถเอาวิทยาศาสตร์ไปพิสูจน์การมีอยู่ของ พระเจ้าเชิงประจักษ์ได้ จึงทําให้มนต์ขลังของศาสนาในยุคนั้นค่อย ๆ เสื่อมลง เมื่อพวกเขาสูญเสียความเชื่อไป จึง นํามาซึ่งคําถามว่า มนุษยชาติเกิดขึ้นมาได้ยังไง สรรพสิ่งเกิดขึ้นมาได้ยังไง แล้วฉันจะอยู่ต่อไปทําไม”  

เฟรเดอริก นิทเช่ (ศตวรรษที่19) มีคําพูดอันโด่งดังว่า “พระเจ้าตายแล้ว” ในหนังสือชื่อดังของเขาสาราธุส ตราตรัสไว้ดังนี้นิทเช่ไม่ได้จะสื่อว่าพระเจ้าเคยเกิดมา มีอยู่ และตายจากไปแล้วตรงตามตัวอักษร แต่เขากําลัง หมายถึงการที่ความเชื่อที่ว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้านั้นกําลังจางหายไปในสังคมที่วิทยาศาสตร์เบ่งบาน และถ้าหากพระเจ้าไม่มีจริง คุณก็ต้องหาคําตอบนั้นให้กับชีวิตตัวเองว่าคุณอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร แต่เราจะทําอย่าง นั้นได้อย่างไร ในเมื่อธรรมชาติมนุษย์นั้นช่างอ่อนแอและเปราะบาง แค่เพื่อนบ้านมาขอความเชื่อเหลือบางอย่าง จากเรา เราไม่อยากให้ แต่เรายังไม่กล้าปฏิเสธเลย มนุษย์เราอยากเป็นอิสระจากความคาดหวัง จากสายตาของ คนอื่น แต่ก็ธรรมชาติของเราอีกนั่นแหละที่ต้องการการยอมรับและความสนใจจากคนรอบข้าง ทุกอย่างล้วนย้อน แย้งอย่างสิ้นเชิง เมื่อถูกพันธนาการและกดขี่ ถูกบังคับให้เชื่อ มีคนมาตอบให้ว่าคุณเกิดมาเพื่ออะไร มนุษย์จะ ดิ้นรนอยากเป็นอิสระและอยากตอบคําถามนั้นด้วยตนเอง แต่เมื่อเป็นอิสระจริง ๆ กลับไม่รู้จะเดินไปทางไหน ชีวิต ที่เต็มไปด้วยเสรีภาพเอาเข้าจริงกลับเป็นเรื่องน่าหวั่นใจเสียด้วยซ้ํา แล้วคุณมีคําตอบแบบไหนให้กับตัวเอง 

เหตุผลที่เรายังอยู่ตรงนี้  

ในโลกที่เศรษฐกิจกําลังมีปัญหา ผู้คนในสังคมต้องพยายามเลือดตาแทบกระเด็นที่จะมีชีวิตให้ผ่านไป แต่ละวัน จนบางคนเริ่มตั้งคําถามว่า ถ้ามันยากขนาดนี้ ทําไมเราถึงยังควรไปต่อมีหลายคนที่ยอมแพ้กับความ หนักหนาของชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจถูกแสดงออกมาในรูปแบบของการเฉยเมย ไม่สนใจโลก แยกตัว ออกจากสังคม หรือแม้กระทั่งตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง อันที่จริงแล้วมนุษย์ก็อาจไม่ได้มีค่าหรือสลักสําคัญอะไรกว่า สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จริง ๆ นั่นแหละ และก็จะมีบางคนพูดด้วยซ้ําว่า จะว่าไปโลกใบนี้อาจจะดีขึ้นก็ได้ ถ้ามนุษย์สูญพันธุ์ ไปเสียให้หมด แต่ต่อให้มนุษย์นั้นอ่อนแอ ทุกข์ เศร้า เบียดเบียนคนอื่นและตัวเองอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่ามัน จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้อบกพร่องของมนุษย์และความยากลําบากในการใช้ชีวิตไม่ได้ลบล้างศักยภาพในการ ทําความดีของเรา ถ้าเรารู้สึกว่าโลกนี้คงจะดีกว่าโดยไม่มีเรา ทําไมเราไม่พลิกความคิดเป็นว่า ถ้าอย่างนั้นเราน่าจะ ตั้งใจใช้ชีวิตและทําให้มันมีความหมายเพื่อที่จะได้ใช้โอกาสที่เราได้อยู่ตรงนี้ ในขณะนี้ สร้างคุณค่าและความ หมายในแบบของตัวเองแทนล่ะ  

นักวิทยาศาสตร์พยายามวิจัยและคาดการณ์ว่าโลกจะถึงจุดจบอย่างไร บ้างก็ว่าจะมีดาวเคราะห์น้อย ขนาดยักษ์พุ่งชนจนชะตากรรมของมนุษย์จะจบลงไม่ต่างกับไดโนเสาร์ในอดีต บ้างก็ว่าจะมีการปะทุของภูเขาไฟ ขนาดใหญ่ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงจนนําไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ได้ บ้างก็ว่าสรรพสิ่งบนโลกเราจะสูญพันธุ์จากการที่ดวงอาทิตย์ขยายตัวจนกลายเป็นดาวยักษ์แดง หรือบางที มนุษย์อาจสูญพันธุ์ง่าย ๆ ด้วยไวรัส โรคระบาด สงคราม หรือแม้แต่พวกเราอาจวิวัฒนาการกลายเป็นมนุษย์สาย พันธุ์ใหม่ที่ปรับตัวกับแวดล้อมได้ หรือไม่ก็ย้ายออกจากโลกไปตั้งรกรากที่อื่นไปเลย ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นใน อนาคตอันไกลโพ้น และคำถามว่า ‘มนุษยชาติมีค่าให้ไปต่อบนโลกหรือไม่’ ก็อาจไม่ได้มีใครให้คำตอบที่ถูกใจได้ นอกจากตัวเราจะใช้ชีวิตและหาความหมายให้มันด้วยตัวเอง ผ่านความยากลําบาก ผ่านความผิดพลาด ผ่าน ชัยชนะ ผ่านความสุขและความทุกข์ ไม่ว่าคุณจะใช้ศรัทธาหรือเหตุผลในการนําทาง ไม่ว่าคุณจะตั้งกติกาว่า คุณค่าของตัวเองจะมีอยู่บนเงื่อนไขหรือมาตรฐานใด แต่แค่การที่คุณยังอยู่ตรงนี้ ในเวลานี้ ก็แปลว่าคุณยังมี โอกาสและยังมีความเป็นไปได้ คุณสามารถที่จะใช้ชีวิตเพื่อตามหาความหมายและสร้างคุณค่าให้กับชีวิตตัวเอง แบบไหนก็ได้ และบางทีเราแต่ละคนอาจจะแค่เกิดมาเพื่อทําแค่นั้นก็เป็นได้  

ดิสโทเปีย/ยูโทเปีย : อนาคตโลกกับการเติบโตของใจคน 

 โลกดิสโทเปีย และ โลกยูโทเปีย คือโลกสองด้านบนเหรียญอันเดียวกัน คําว่ายูโทเปียถูกใช้ครั้งแรกในปี 1516 โดยชายชาวอังกฤษชื่อโธมัส มัวร์ อธิบายถึงสังคมอุดมคติที่มีสภาพความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะ ทางกาย ทางใจ ทางเศรษฐกิจ ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอิสระเสรี ไร้การกดขี่ ส่วนคําว่าดิสโทเปียค่อยเกิดขึ้น มาตามหลังโดยมีความหมายทางตรงข้ามคือหมายถึงสังคมที่ถูกกดขี่ สังคมที่ระบบโครงสร้างและเทคโนโลยีมี ปัญหา คนในสังคมดิสโทเปียจำต้องโหดร้ายเย็นชาต่อกัน ไร้อิสระเสรี เต็มไปด้วยข้อจำกัดในการใช้ชีวิต ฯลฯ  

นั่นคือความหมายโดยทั่วไปเมื่อเราพูดถึงคำว่าดิสโทเปีย แต่จริง ๆ แล้วคำว่ายูโทเปียดิสโทเปียมี นิยามต่างออกไปตามแต่ละยุคสมัย เนื่องจากความหมายของมันสะท้อนถึงความกังวลและความฝันของผู้คน และความกังวลและความฝันของคนในแต่ละยุคก็แตกต่างกันออกไป บางยุค เมื่อพูดถึงโลกดิสโทเปีย คนจะนึกถึง โลกที่ถูกปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ (ตามสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แม้ว่า cocept communism จะมีเจตนาสร้างสังคม Utopia ก็ตาม) เพราะในการนำมาประยุกต์ใช้จริง Communism จะมีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบเดินถือปืนควบคุมให้ทุกคนทำงานและอุทิศตัว เพื่อท่านผู้นำสูงสุดที่เป็นมหาวายร้ายแห่งโลก เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่ประชากรโลกหวาดกลัวคอมมิวนิสต์เหนือสิ่งอื่นใด ขณะที่เมื่อพูดถึงโลกยูโทเปีย คนก็จะนึกถึงโลกที่มนุษย์สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระและปลอดภัย เดินใต้ แสงสว่างได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครจับไปล้างสมอง สามารถค้าขายได้อย่างเสรี นับถือศาสนาหรือมีความเชื่อ อะไรก็ได้ ขณะเดียวกัน ในบางยุคดิสโทเปียคือโลกที่ล่มสลายจากเทคโนโลยีและยูโทเปียคือโลกที่ผู้คนใช้ เทคโนโลยีในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เมื่อกล่าวแบบนี้แล้ว ถ้าเราหันกลับมามองในยุคปัจจุบัน โลกเรากำลังเผชิญ กับปัญหาการเพิ่มของจำนวนประชากรลดลงอย่างเห็นได้ชัด ค่านิยมในเรื่องเพศที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราเคยมีคำว่า เกย์ สาวประเภทสอง กระเทย ทอม ดี้ แต่พอมาวันนี้เรามี LGBTQA + และตัวอักษรอีกสารพัดที่ เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ผู้คนมีทัศนคติทางเพศแตกต่างหลากหลายขึ้นทุกวัน สิทธิในการสมรสในเพศเดียวกันกำลังเบ่ง บานในโลกเสรี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าเราและหมุนไปอย่างรวดเร็ว จึงถึงคราวที่เราน่าจะลอง พิจารณานิยามของคำว่าดิสโทเปียและยูโทเปียในปัจจุบันใหม่อีกครั้ง  

เรื่องทางเพศในเฉดสีของยูโทเปียดิสโทเปีย  

เพศเป็นส่วนประกอบสำคัญของการดำรงอยู่ของมนุษย์ ในกรอบของยูโทเปีย เพศอาจถูกมองว่า เป็นการแสดงออกถึงเสรีภาพ เป็นการแสดงออกถึงตัวตน และเป็นสิ่งที่ต้องเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน สังคม ยูโทเปียจะโอบรับความหลากหลาย มีความตระหนักรู้ถึงรสนิยมทางเพศที่แตกต่าง ไม่ก้าวล่วงทางเลือกของคนอื่น ขณะเดียวกัน หากเราอยู่ในโลกดิสโทเปีย เพศจะกลายมาเป็นเครื่องมือกดขี่ สังคมมีกรอบขนบที่แข็งแกร่ง ลงโทษ คนเห็นต่าง ห้ามสํารวจหรือเล่นสนุกกับเพศและกิจกรรมทางเพศมากเกินไป การกดขี่ทางเพศอาจนําไปสู่ปัญหา สังคมและจิตวิทยาได้ในวงกว้าง ยิ่งไปกว่านั้นในบริบทสังคมสมัยใหม่ การนําเอาเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การมีลูกด้วยวิธีทางเลือกที่ไม่ใช่วิธีการธรรมชาติ ความรักยุคดิจิตัลที่เกิดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มที่คนสามารถรู้สึกดี ๆ ต่อกันถึงแม้จะผ่านแค่ตัวอักษรหรือเสียง โดยยังไม่เคยเจอหน้ากันจริง ๆ นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมการแสวงหา ความรักความสัมพันธ์ทางออนไลน์ ความหลากหลายเหล่านี้สามารถถูกมองได้ว่าเป็นความคิดหัวก้าวหน้าอิสระ เสรี หรือไม่ก็เป็นการทําลายคุณค่าความเป็นคนได้เช่นกัน ตกลงว่าเรากําลังเข้าสู่ยูโทเปียที่ความปรารถนาและ จินตนาการสุดพิลึกพิลั่นของเราจะถูกเติมเต็ม หรือ เรากําลังเข้าสู่โลกดิสโทเปียที่สายใยความสัมพันธ์ของมนุษย์ รวมทั้งความหมายของการมีชีวิตกําลังเลือนลางลงทุกทีกันแน่ 

ศาสนา เพศ และโลกในอุดมคติ  

ในหลายศาสนา การมีลูก มีครอบครัวถือเป็นเรื่องดี พระศิวะหรือพระแม่อุมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความ อุดมสมบูรณ์ แม้กระทั่งพระเจ้าในศาสนาอับราฮัม(ยิว คริสต์ อิสลาม)ก็อวยพรคนของพระองค์ว่าจงมีลูกมาก และทวีจํานวนขึ้นกล่าวได้ว่า ในหลาย ๆ ความเชื่อ กิจกรรมทางเพศและการสืบพันธุ์ก็ถูกมองเป็นเรื่องน่ายินดี จนถึงขั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะนําไปสู่การกําเนิดชีวิตใหม่ แต่ขณะเดียวกันทั้งพระเยซูและพระพุทธเจ้าต่างก็ถือ พรหมจรรย์และปฏิเสธความปรารถนาทางเนื้อหนังรวมทั้งความยึดติดทางโลก นักบวชในศาสนาคริสต์คาทอลิก นักบวชในศาสนาพุทธหลาย ๆ นิกาย นักบวชในบางลัทธิ ก็ดํารงตัวอยู่ในเพศพรหมจรรย์ ราวกับจะบอกว่าการตื่น รู้นั้นเกิดขึ้นได้จากการมุ่งไปยังภายในของตัวเองมากกว่าการเติมเต็มและแสวงหาจากภายนอก  

สองมุมมองนี้สะท้อนว่าเรื่องเพศไม่ได้มีค่าเพียงเพื่อการสืบพันธุ์ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการพัฒนาจิต วิญญาณได้ด้วย ขณะเดียวกันการถือพรหมจรรย์และการปฏิเสธความสัมพันธ์ทางเพศ สําหรับบางคนมันช่วยให้ หลุดพ้นจากความเป็นทาสของความปรารถนาและมุ่งเน้นไปยังเป้าหมายทางจิตวิญญาณ เช่น การค้นพบความ สงบภายใน แต่ขณะเดียวกัน การยอมรับเพศสัมพันธ์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมนุษย์ ก็ช่วยเชื่อมโยง มนุษย์กับการสร้างสรรค์และความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้เช่นกัน  

ในโลกดิสโทเปีย ศาสนาอาจสร้างความทุกข์ให้กับผู้คนได้เมื่อเรื่องเพศถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่ ตี ตรา บังคับให้ทุกคนปฏิบัติเหมือนกัน ใช้คำสอนทางศาสนาในการกดขี่คนที่มีวิถีชีวิตและรสนิยมทางเพศที่แตก ต่าง ขณะที่มุมมองยูโทเปีย ศาสนาและความเชื่อสามารถเป็นเครื่องมือในการประสานเรื่องเพศและจิตวิญญาณ ให้เป็น 1 ได้ ทุกวันนี้เราเห็นความเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQA+ เรียกร้องความเท่าเทียมและการปลดปล่อยทางเพศ มีการยอมรับและให้พื้นที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น จากเดิมที่โบสถ์คริสต์มีแนวคิดต่อต้านผู้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันก็เริ่มมีโบสถ์ที่ให้การยอมรับและจัดการแต่งงานให้คู่รักเพศเดียวกันได้มากขึ้น เราเห็นผู้มีความหลากหลายทางเพศในศาสนสถานกันมากขึ้นและเป็นเรื่องปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ศาสนาเองก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเช่นกัน กรอบศีลธรรมและจิตวิญญาณค่อย ๆ ยอมรับรูปแบบความรักและความ สัมพันธ์ที่หลากหลายมากขึ้นทุกวัน แต่ขณะเดียวกันก็มีคนที่วิจารณ์ว่าศาสนาไม่ควรยอมรับเรื่องแบบนี้เลย เพราะ ความผิดเพศคือการผิดธรรมชาติ และการมีวิถีชีวิตผิดธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่ลดทอนความเป็นมนุษย์  

การลดลงของจำนวนประชากรโลกเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ 

พวกเรากำลังยืนเป็นพยานอยู่ในสถานการณ์ที่การเพิ่มของจำนวนประชากรโลกลดลงเรื่อย ๆ หลาย ศตวรรษที่พวกเราอยู่กันมาโดยให้นิยามว่าตัวเลขเพิ่มขึ้นคือการเติบโตและตัวเลขลดลงคือการถดถอย ไม่ว่าจะ เพราะอัตราการแต่งงานต่ำลง การแต่งงานในเพศเดียวกันเพิ่มมากขึ้น (อันที่จริง ผลการวิจัยทางสถิติแสดงให้เห็น ว่าการที่มีคู่รักเพศเดียวกันเพิ่มไม่ใช่เหตุผลหลักของการลดลงของจำนวนประชากร*) อัตราการเกิดก็ต่ำลงเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะมาจากเพราะรูปแบบกิจกรรมทางเพศในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากอดีตมาก หรือเพราะการที่ผู้คนมีวิถีชีวิต เปลี่ยนไปจากอดีต แต่งงานช้า มีลูกช้าลง หรืออาจจะเป็นเพราะผู้คนมีความกังวลกับสังคมและเศรษฐกิจก็เลยไม่ กล้าสร้างครอบครัวก็เป็นได้  

ดิสโทเปีย: โลกที่ประชากรลดลงอาจนำไปสู่การชะงักงันทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนแรงงาน และการเลือนหาย ทางวัฒนธรรม บางเมืองอาจกลายเป็นเมืองร้างดังที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นหรือบางแห่งในยุโรปที่มีแต่ผู้สูงวัย และจำนวนประชากรในเมืองก็ลดลงเรื่อย ๆ ความเหงาและความโดดเดี่ยวอาจกลายเป็นเรื่องปกติที่คนในสังคม ต้องเผชิญ เรากำลังเดินไปสู่การล่มสลายของยุคสมัย  

ยูโทเปีย: ในทางกลับกัน โลกที่มีคนน้อยลงอาจช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อม ให้ธรรมชาติมีโอกาสฟื้นฟู สังคม อาจมุ่งเน้นคุณภาพชีวิต ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง และการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลมากขึ้น สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปตรง หน้าอาจกำลังพาเราเดินไปสู่โลกในอุดมคติก็เป็นได้  

บางทีโลกดิสโทเปียหรือยูโทเปียอาจไม่เกี่ยวอะไรกับการเจริญเติบโตทางโลกที่ต้องมีตัวเลขให้จับต้อง ได้ หากแต่เป็นการเติบโตทางปัญญา ความเมตตา จิตวิญญาณ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโลกใบนี้ ส่วนจะครองตัวเป็นพรหมจรรย์ หรือมีกิจกรรมทางเพศ เป็นโสดหรือมีคู่ คบเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน มันไม่ได้ มีอะไรดีกว่าอะไร การงดเว้นจากความปรารถนาทำให้คุณได้ฝึกฝนสภาวะเหนือความเป็นทาสต่อเนื้อหนังตัวเอง แต่การมีกิจกรรมทางเพศก็เป็นการทำตามธรรมชาติที่จะสืบพันธุ์เช่นกัน ไม่ว่าแบบไหนก็ล้วนเป็นการแสดงออก ของความเป็นมนุษย์ในตัวเรา  

สุดท้ายแล้วเมื่อย้อนกลับไปที่รากศัพท์ของคำว่ายูโทเปีย มันมาจากคำว่า no land หรือ “สถานที่ที่ไม่มี อยู่จริง” หมายความว่า จริง ๆ แล้วมนุษย์แค่มองหาสถานที่หรือสภาพสังคมที่ถูกใจตัวเองและอยากให้มันจับต้อง ได้แบบนั้น แต่เพราะเป็นเช่นนั้นนั่นแหละ มันจึงกลายเป็นยูโทเปียหรือโลกที่ไม่มีอยู่จริง พอพิจารณาตามนี้แล้ว บางทียูโทเปียอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ตายตัว หากแต่เป็นกระบวนการพยายามอย่างต่อเนื่องที่เราจะปรับ ความปรารถนาของเราให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต และไม่มีอะไรถูกหรือผิดในการเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบไหน มีรสนิยม อย่างไร มีวิถีชีวิตเหมือนอย่างคนส่วนน้อยหรือส่วนมาก เพราะสุดท้ายแล้วการเดินทางสู่โลกที่ดีขึ้นคือการก้าวข้าม ความคิดสองขั้วไปสู่การค้นพบนิยามความหมายของการเป็นมนุษย์ของเรานั่นเอง  

 

การแสวงหาชีวิตอมตะ : ความมั่งคั่ง ความเชื่อ และศาสตร์แห่งการรักษาคุณภาพชีวิต

ทำไมมนุษย์จึงปรารถนาความเป็นอมตะ  

มนุษย์แสวงหาชีวิตนิรันดร์มาตลอดตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน สาเหตุหลักที่เป็นตัวผลักดันแรง ปรารถนานี้ก็คือความ[กลัวความตาย]ของมนุษย์นั่นเอง ความกลัวที่จะสูญเสียโอกาสในการมีประสบการณ์และ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในชีวิตไป นอกจากนี้ความปรารถนาจะมีชีวิตอันเป็นอมตะยังสะท้อนให้เห็นถึงความอยากรู้ อยากเห็นและความทะเยอทะยานของมนุษย์ที่ต้องการก้าวข้ามข้อจำกัดทางกายภาพของตนเอง ถึงแม้ว่าความ เป็นอมตะอาจยังเป็นความฝันที่ไม่เคยมีใครทำได้ แต่การยืดอายุขัยและคุณภาพชีวิตยังพอจะเป็นไปได้อยู่บ้าง ดัง จะเห็นจากการที่มนุษย์เรามีตัวช่วยจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชะลออายุต่าง ๆ  

ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Hope Frozen บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวของ ดร. สหธร ณ นคร นัก วิทยาศาสตร์ด้านเลเซอร์ และภรรยา คุณนฤมล ณ นคร ที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียลูกสาววัยสองขอบน้อง ไอนส์จากโรคมะเร็งสมองชนิดหายากและไม่มีทางรักษาได้ ด้วยความรักที่มีต่อลูกสาวและความหวังใน วิทยาศาสตร์ พวกเขาตัดสินใจนำสมองของลูกสาวไปแช่แข็งด้วยเทคโนโลยีไครโอนิกส์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยหวังว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เธอฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าวันนั้นคุณพ่อคุณแม่อาจ จะไม่ได้มีชีวิตอยู่เจอกันอีกแล้วก็ตาม  

เรื่องนี้อาจฟังดูเหมือนพล็อตภาพยนตร์ไซไฟที่บอกเล่าเรื่องราวของมนุษย์ในโลกอนาคต แต่นี่คือเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเรา คนที่ได้รับชมสารคดีเรื่องนี้ก็มีการถกเถียงกันในแง่มุมทางพุทธศาสนาที่จะมองว่าการ ตัดสินใจของครอบครัวช่างย้อนแย้งกับแนวคิดต่อความตายและการเกิดใหม่ในศาสนาพุทธเสียเหลือเกิน เราจะไม่ เปิดเผยสาระสําคัญของสารคดีนี้มากไปกว่านี้ แต่บอกได้แค่มันเป็นเรื่องราวที่คุณไม่ควรพลาด หากคุณเคยตั้ง คําถามถึงคุณค่าของชีวิตและความหมายของการมีอยู่  

อะไรบ้างที่มีผลกับอายุขัยของมนุษย์  

คุณคิดว่าระหว่างคนรวยกับคนจนใครอายุยืนกว่ากัน? งานวิจัยแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ชัดเจน ระหว่างสถานะทางสังคมและเศรษฐกิน กับอายุขัยของมนุษย์หนึ่งคน พูดง่าย ๆ ว่า คนรวยมักจะมีอายุยืนกว่า คนจน เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ในการใช้ชีวิต เช่น การเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า การได้รับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ และอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมสะอาด ตัวอย่างเช่นการศึกษาในปี 2016 นิตยสารสมาคมการแพทย์ แห่งอเมริกา ( The Journal of the American Medical Association ) พบว่าในสหรัฐอเมริกา คนที่ร่ํารวยที่สุด มีอายุยืนยาวกว่าคนที่ยากจนที่สุดอย่างมีนัยยะสําคัญ อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยนั้นไม่ได้จะบอกว่าความร่ํารวยเพียงอย่างเดียวจะสามารถรับประกันสุขภาพได้ ถ้าคนรวยคนหนึ่งใช้ชีวิตสํามะเลเทเมา ไม่ดูแลตัวเอง ก็ย่อมอายุสั้นได้ เหมือนกัน นั่นแปลว่ามันก็ขึ้นอยู่กับการที่บุคคลนั้น ๆ จะต้องมีความอยากที่จะมีชีวิตที่ดีและมีวินัยในการตั้งใจใช้ ชีวิตด้วย เพียงแต่การที่เขามีความมั่งคั่ง มันทําให้เขาทําตามความปรารถนานั้นได้โดยไม่ติดขัดเท่าคนที่ไม่มีเงิน  

อุตสาหกรรมสุขภาพกําลังเติบโตด้วยเทคโนโลยีและการให้บริการที่ถูกออกแบบมาเพื่อยืดอายุมนุษย์ใน ทุก ๆ ทาง ทุกวันนี้เรามีเทคโนโลยีชีวภาพในการปรับแต่งยีน (Biotechnology and Gene Editing) เป็นหนึ่งใน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ การเกษตร และสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล โดยมีเป้า หมายในการพัฒนาสิ่งมีชีวิต คําว่าปรับแต่งยีนในที่นี้ก็คือการเข้าไปเพิ่ม ลบ เปลี่ยนแปลงลําดับพันธุกรรมใน ระดับที่แม่นยําที่สุด วิธีนี้ช่วยให้สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้อย่างตรงจุด ตัวอย่าง ที่ชัดเจนคือพืช GMO เช่น ข้าวโพดที่ทนต่อโรคและแมลง หรือ ทําให้มันฝรั่งสามารถเติบโตได้แม้สภาพอากาศจะ เลวร้าย เรายังสามารถใช้เทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรมในการสร้างแบคทีเรียที่สามารถย่อยพลาสติกได้นั่นแปล ว่าเรามันจะส่งผลดีกับสิ่งแวดล้อมของเรา ในสังคมเราเคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้บริโภคต่อต้านผลิตผลที่มาจากพืช  

หรือสัตว์ที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรม ด้วยความเกรงว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดผลกระทบต่อธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถ ควบคุมได้ แต่ถ้าเราบอกว่าเทคโนโลยีนี้นอกจากใช้กับพืชและสัตว์แต่มันก็ถูกนํามาใช้มนุษย์ล่ะ เรายังจะต่อต้าน มันอยู่ไหม? ด้วยเทคโนโลยีนี้ มนุษย์สามารถใช้วิธีนี้ในการรักษาโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ได้แล้ว เราสามารถปรับแต่งยีนให้เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถกําจัดเซลล์มะเร็งได้แล้วด้วย แน่นอนว่ามนุษย์ยังไม่ สามารถเอาชนะโรคภัยเหล่านี้ได้โดยสมบูรณ์ เรายังมีข้อจํากัดเรื่องทรัพยากร ค่าใช้จ่าย และต้องอาศัยผู้บริจาค ไขกระดูกเพื่อปลูกถ่ายในภายหลังอีก แต่เพียงเท่านี้เทคโนโลยีทางการแพทย์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันช่วยเพิ่มโอกาส ในการรักษาและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้่ป่วยเป็นอย่างมาก  

ในปี 2023 ไบรอัน จอห์นสัน นักธุรกิจและนักลงทุนด้านเทคโนโลยีชาวอเมริกัน ได้สร้างโครงการชะลอวัย และยืดอายุขัยของตนเองที่เรียกว่า Project Blueprint เขาทําการถ่ายพลาสมา(ส่วนประกอบของเลือด) จาก ลูกชายวัย 17 ปีของเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองที่เรียกว่าการแลกเปลี่ยนพลาสมาจากรุ่นต่อรุ่น กล่าวคือ เขารับพลาสมาจากลูกชาย และเขาเองก็เอาพลาสมาตัวเองให้พ่อวัย 70 ปีของเขา การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลกระทบของพลาสมาจากผู้บริจาคที่มีอายุน้อยต่อกระบวนการชะลอวัย ในตอนนั้นมีเสียงวิพากย์ วิจารณ์มากมายว่าเขาทําสิ่งที่ไม่สมควร ฝืนธรรมชาติ เอาชีวิตคนในครอบครัวมาเป็นหนูทดลอง สุดท้ายเขายุติผล การทดลองด้วยเหตุผลที่ว่าไม่พบประโยชน์ชัดเจนจากการถ่ายพลาสมา ถึงแม้ว่าโครงการจะไม่เป็นผลสําเร็จแต่ หากใครได้ไปดูประวัติและวิถีชีวิตของเขา ก็จะพบว่าเขาเป็นชายวัย 47 ปี ที่ดูเด็กกว่าอายุมาก ๆ ทั้งนี้เพราะเขา ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอเพื่อบริหารหัวใจและหลอดเลือด เขาใช้การตรวจวัด ทางชีวิตภาพและวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมพร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ยืดอายุขัยตัวเองออกไปได้ ยาวนานที่่สุด  

นวัตกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิธีที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้ามาช่วยให้การมีชีวิตที่ยืนยาวมี ความเป็นไปได้มากกว่าเดิม แม้ว่าทั้งหมดนี้จะฟังดูเป็นเรื่องโลกอนาคต แต่อันที่จริงความที่มนุษย์ใฝ่ฝันถึงชีวิตอัน เป็นนิรันดร์มาตลอดตั้งแต่อดีตกาลอยู่แล้ว ดังจะเห็นว่าแนวคิดยาอายุวัฒนะก็อยู่คู่ความเชื่อเรามาตลอด เริ่ม ตั้งแต่ในจีนโบราณ ลัทธิเต๋ามีความเชื่อเรื่องหยินหยางและพลังชี่ที่หมายถึงความสมดุลของพลังชีวิต นักเล่น แร่แปรธาตุชาวจีนพยายามสร้างยาอายุวัฒนะจากแร่ธาตุ พวกเขาใช้ทองคําและปรอทแต่สุดท้ายมันกลายมาเป็น พิษกับผู้ใช้แทน ทางอินเดียก็มีการพูดถึง ‘รสายนะ’ ในคัมภีร์อายุรเวท โดยกล่าวถึงศาสตร์แห่งการฟื้นฟูร่างกาย และจิตใจด้วยการใช้สมุนไพรและอาหารที่ส่งผลต่อสุขภาพ โลกอาหรับสมัยยุคทองของอิสลามก็มีนักปรัชญาและ นักวิทยาศาสตร์ชาวเปอร์เซียที่ชื่ออิบนุซีนาพยายามสกัดยาอายุวัฒนะจากสมุนไพรและยารักษาโรคซึ่งกลายมา เป็นแรงบันดาลใจของการวิจัยการแพทย์สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในยุโรปเองก็มีแนวคิด ‘ศิลานักปราชญ์’ ซึ่งเป็น เหมือนตํานานที่เซอร์นิโคลัส แฟลมเมล และเซอร์ไอแซค นิวตันก็เชื่อว่าหากสร้างศิลาที่ว่านี้ได้ นอกจากมันจะ สามารถเปลี่ยนตะกั่วให้เป็นทอง ก็ยังสามารถผลิตยาอายุวัฒนะที่ผู้ได้ด่ืมกินจะมีชีวิตยืนยาวหรือเป็นอมตะได้ บุคคลสําคัญในอดีตเหล่านี้ล้วนแล้วแต่พยายามไขความลับของจักรวาลและเอาชนะข้อจํากัดทางกายภาพของ มนุษย์กันทั้งสิ้น  

ความเชื่อทางจิตวิญญาณกับอายุขัย  

ถึงแม้ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะชี้ให้เห็นว่ามนุษย์พยายามหาหนทางในการมีชีวิตนิรันดร์มาโดย ตลอด และเทคโนโลยีรวมถึงศาสตร์ชะลอวัยในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าต้องใช้เงินมากขนาดไหนในการยืดชีวิตและ ต้องรักษาคุณภาพชีวิตเอาไว้ในระดับดีด้วย แต่ไม่ได้แปลว่าถ้าคุณไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านั้นได้แล้วคุณ จะไร้ซึ่งโอกาสในการมีอายุที่ยืนยาวไปเลย อันที่จริงแล้วความเชื่อและการปฏิบัติทางจิตวิญญาณมีความ เกี่ยวข้องกับอายุและสุขภาพที่ดีอย่างเห็นได้ชัด เช่น นักบวชที่มีชีวิตเรียบง่ายโดยมุ่งเน้นการฝึกสมาธิ รักษาความ  

สมดุลในชีวิต ใช้ชีวิตแบบสมถะและมิได้ไล่ไขว่คว้าตามความเจริญทางโลก มีกิจวัตรที่มีระเบียบวินัย ตื่นนอน เข้า นอนตามแสงแดด ทําให้ช่วยรักษานาฬิกาชีวิตเอาไว้ได้ ปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยลดความเครียดและโรคเรื้อรังได้ อย่างมีนัยยะสําคัญ มีงานวิจัยจํานวนไม่น้อยที่สนับนสนุนเกี่ยวกับอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นของนักบวช เช่น งานวิจัย จากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นและอินเดียพบว่า นักบวชในบางศาสนา พระสงฆ์ในพุทธศาสนา โยคีในอินเดีย พวกเขา มีอายุเฉลี่ยที่ยืนยาวกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรทั่วไป แม้แต่กลุ่มพระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมในญี่ปุ่น (พระเซ็น) ก็มีอายุ ขัยเฉลี่ยสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 5-10 ปี  

สุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าเราจะไล่ตามไขว่คว้าชีวิตอันเป็นนิรันดร์เพราะอะไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใคร เอาชนะความตายได้ การยอมรับความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจะช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของเวลาและสิ่งที่มี อยู่ตรงหน้า เราอาจไม่สามารถหยุดยั้งความตายได้ แต่เราสามารถจะเลือกใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกวัน เราสามารถ เปลี่ยนแรงปรารถนาที่เรายังใฝ่ฝันจะเป็นอมตะให้กลายเป็นแหล่งพลังงานการสร้างสรรค์ การแบ่งปัน การใช้ชีวิต อย่างมีคุณค่าไม่เพียงแต่เพื่อตัวเองแต่ยังเพื่อคนอื่น และหากเราทําแบบนั้นแล้ว บางทีเราอาจเป็นอมตะได้ในแง่ที่ สิ่งที่เราทําทิ้งไว้ยังอยู่ในโลกใบนี้ ในความทรงจําของใครสักคนถึงแม้เราจะจากไปแล้ว ดังคํากล่าวที่ใครสักคนเคย พูดไว้นานแล้วคนเราจะตายทางกายภาพไม่ใช่จุดจบเดียว แต่การถูกลืมเลือนจากความทรงจํานั้นก็เหมือน เป็นการตายซ้ําอีกครั้งหนึ่ง

ติดหี : การเป็นอิสระจากความปรารถนาอันตื้นเขินเพื่อนำไปสู่การเติบโตที่แท้จริง

ในสังคมที่ทุกวันนี้กิจกามทางเพศกลายเป็นเรื่องปกติ จากเดิมที่การมีเพศสัมพันธ์เคยเป็นเรื่องน่าอายและต้องทำกันลับ ๆ กลับกลายเป็นเรื่องที่เปิดเผยและเข้าถึงได้ง่าย ผู้ชายหลายคนกลายมาเป็น ‘คนติดหี’ เมื่อสัญขาติญาณดึกดำบรรพ์กักขังพวกเขาไว้ในวงจรอุบาทว์ของการไล่ตามความปรารถนาอย่างไม่จบไม่สิ้น

อาการมันเป็นยังไง?

อาการติดหีมันไม่ใช่แค่ความต้องการจะมีเซ็กส์ แต่มันคือการไล่หาอะไรมาเติมเต็มความว่างเปล่า ความด้านชาในใจ ความอึดอัดใจ หรือแม้แต่การพิสูจน์อะไรบางอย่างในตัวเอง ถ้าคุณนึกถึงการมีเซ็กส์ตลอดเวลา ถึงแม้จะต้องแลกด้วยการงาน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่การเติบโตของจิตใจตัวเอง

ถ้าคุณแสวงหาการยอมรับ มองว่าการได้มีเซ็กส์คือการที่ตัวเองได้เป็นผู้ชนะ ได้ควบคุม ได้มีอำนาจเหนืออีกฝ่าย รู้สึกว่าถ้ายังสามารถจะหาใครมามีเซ็กส์ได้อยู่ก็เหมือนตัวเองยังพอมีค่าอยู่บ้าง

ถ้าคุณมองการมีเซ็กส์เป็นแค่การแลกเปลี่ยน ไม่ต้องมีความผูกพันทางอารมณ์ความรู้สึก ไม่ต้องมีความผูกพัน หรือทำกับคู่นอนเหมือนเป็นวัตถุทางเพศแทนที่จะมองเขาว่าเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีเรื่องราวชีวิตของตัวเอง

ถ้าคุณมีเซ็กส์เท่าไรก็ไม่เคยอิ่ม ไม่เคยพอ

ถ้าคุณมีอาการแบบนี้ในใจ การมีเซ็กส์ได้ก็ไม่ใช่เครื่องหมายอิสรภาพของคุณแล้วล่ะ คุณตกเป็นทาสของสัญชาติญาณดิบที่มนุษย์ทุกคนมีมาตั้งแต่ยุคหิน คุณติดอยู่ในวงจรที่ต่อให้ไล่ตามอะไรบางอย่างไปจนตายก็ไม่มีวันสมใจ

สามเหลี่ยมมาสโลว์กับความติดหี

สามเหลี่ยมมาสโลว์คือลำดับความปรารถนาของมนุษย์ที่แสดงให้เห็นถึงแรงขับของมนุษย์จากระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับสูง หากเอามาจับกับเรื่องเซ็กส์มันจะออกมาหน้าตาแบบนี้

1 ความต้องการเบื้องต้น : เซ็กส์เป็นเหมือนการเกาตรงที่คัน มีไปงั้น ๆ ไม่มีความหมายอะไร

2 ความรู้สึกปลอดภัย : เซ็กส์เป็นการแลกเปลี่ยน มีเพื่อแลกเงิน แลกการดูแล หรือมีให้รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นที่ต้องการ

3 ความรักและความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ : เซ็กส์ ณ จุดนี้มีมิติอารมณ์เข้าไปเกี่ยวข้อง แต่มันอาจกลายเป็นมลพิษได้ถ้าคุณใช้เซ็กส์เพื่อเติมเต็มพื้นที่ว่างในใจ หรือใช้เพื่อกลบเกลื่อนความเหงาหรือความรู้สึกหวั่นไหวในใจ

4 การหาคุณค่าในตัวเอง : นี่คือระดับที่ผู้ชายส่วนมากมักจะตกหล่ม ใช้เซ็กส์เป็นสิ่งเพิ่มอัตตาตัวเอง พิสูจน์ว่าเป็นลูกผู้ชาย เข้าใจว่ายิ่งมากประสบการณ์ ยิ่งพิสดาร ยิ่งเป็นคนจริง

5 การรู้จักและค้นพบตัวเอง : ในจุดสูงสุดนี้ เซ็กส์สามารถเป็นเครื่องแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันไปจนถึงการตื่นรู้ มันไม่ได้เป็นแค่การตักตวงหรือเข้าไปเสพสม แต่เป็นเรื่องของการให้ เซ็กส์ในระดับนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอีกต่อไปแต่เป็นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างคนสองคน

ปัญหาของคนส่วนมากคือการก้าวไม่พ้นระดับล่าง ๆ ติดกับดักตกหลุมวนเวียนอยู่แค่กับการทำตามอัตตาตัวเองจนกลายมาเป็นอาการติดหี คุณปล่อยให้มันปล้นโอกาสที่จะเติบโต เยียวยา และยกระดับจิตใจไปแล้วหรือเปล่า?

เพศ • สัมพันธ์ • พิธีกรรมทางจิตวิญญาณ

เราไม่ได้กำลังหมายถึงพิธีกรรมทางศาสนาที่ต้องจุดธูปจุดเทียนบูชาเทพอะไรด้วยเซ็กส์ แต่เราสามารถเข้าถึง ‘ชีวิต’ ได้ด้วยการตั้งใจใช้ชีวิต มีสติรับรู้ทุกขณะ หรืออย่างน้อย ให้ถี่ที่สุดเท่าที่ได้ก็ยังดี และเราทำแบบนั้นได้กับทุกอย่าง รวมทั้งกิจกรรมทางเพศด้วย

ปราณีตกับเซ็กส์ : อยู่กับปัจจุบันขณะพร้อมกับคู่ของคุณ ปรับจูนความต้องการทั้งทางกายและจิตใจ ปฏิบัติทุกขั้นตอนให้เหมือนมันเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งขณะที่ให้และขณะที่รับ

ฝึกหน่วงแทนที่จะไล่ตามทุกอย่าง : แค่เพราะคุณอยาก ไม่ได้แปลว่าจำเป็นต้องตอบสนองความต้องการตัวเองเสมอไป อิสรภาพที่แท้จริงมาจากการที่คุณเป็นนายเหนือความปรารถนาของตนเองแทนที่จะเป็นทาสมัน

ขอบคุณ : ปฏิบัติกับเซ็กส์เหมือนเป็นของขวัญไม่ใช่เครื่องประดับบารมี เข้าหามันด้วยความรู้สึกขอบคุณจะทำให้คุณได้ฝึกที่จะเชื่อมตัวเองกับมนุษย์อีกคนอย่างแท้จริง

กล้าโอบรับความอ่อนแอตัวเอง : ความผูกพันที่แท้จริงทำให้คุณกล้าถอดเกราะและวางดาบลงได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเปิดเผยส่วนอ่อนแอของตัวเองให้เขาเห็น เพราะคุณรักตัวเองได้อย่างที่ตัวเองเป็นแม้กระทั่งส่วนที่ไม่น่ารักเท่าไร

การฝึกที่จะมีเซ็กส์อย่างตั้งใจและประณีต จะทำให้คุณเติบโตและได้รักษาบาดแผลในตัวเองจริง ๆ  การสัมผัสที่อ่อนโยนและจริงใจจะทำให้ร่างกายหลั่งสารออกซิโทซิน สารที่ช่วยลดความเครียดและส่งผลต่อสุขภาพกายใจของเราโดยตรง กล่าวได้อีกนัยว่า ในความสัมพันธ์ทางเพศที่ลึกซึ้ง บาดแผลทางใจและทางกายคุณจะได้รับการเยียวยา และที่สำคัญที่สุด การผสานพลังงานเป็นหนึ่งกับมนุษย์อีกคน คุณจะรู้สึกได้รับการเติมเต็มอีกครั้ง คุณได้ ‘รู้จัก’ เขาและคุณถูก ‘รู้จัก’ และจดจำไว้ในใจของเขา จิตวิญญาณของคุณจะได้รับการเยียวยา

การเยียวยาผ่านเซ็กส์ไม่ใช่การสักแต่จะทำ ๆ ไปเมื่อนึกอยากหรือเบื่อ แต่มันจะเกิดขึ้นได้ต้องอยู่ที่ต้้งเจตนาชัดเจน กล้าเอาตัวเองไปมีสายสัมพันธ์ และการกล้าแสดงความอ่อนแอของตัวเองออกไป ถ้าคุณตกอยู่ในบ่วงของการ ‘ติดหี’ มาตลอด ถึงเวลาหรือยังที่คุณจะถามตัวเองว่า

คุณกำลังเป็นอิสระที่ฟันเท่าไรก็ได้ตามที่อยาก หรือคุณแค่เป็นทาสของแรงกระสันตัวเองเท่านั้น?

คุณกำลังเติบโตผ่านประสบการณ์เซ็กส์ หรือคุณแค่สักแต่จะทำ?

คุณกำลังใช้มันเพื่อตามหาอะไรบางอย่าง หรือใช้เพื่อหลบหนีกันแน่?

การไล่ตามเซ็กส์อย่างฉาบฉวยมีแต่จะทิ้งความว่างเปล่าไว้ในใจคุณ เสร็จครั้งหนึ่งก็ไล่หาครั้งถัดไป แต่ถ้าหากคุณเข้าหาเซ็กส์เหมือนเดินเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันก็จะกลายเป็นแหล่งพลังงานแห่งการเยียวยาและเติบโต ลองเปลี่ยนทัศนคติของคุณดูแล้วคุณจะค้นพบว่าเซ็กส์มันไม่ใช่แค่ให้ความพึงพอใจ แต่มันยังให้การเติบโตกับคุณได้อีกด้วย

คุณพร้อมหรือยังที่จะเลิก ‘ติดหี’ แล้วมองหาสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นเสียที?

[จ้างงาน] หานักเขียน Freelance – Content Creator 5 ตำแหน่ง

Content Creator, Content Writer (Spiritual, Humanity + Innovation Science and Technology)

รับสมัคร นักเขียนอิสระ Content Creator แนว จิตวิญญาณ และนวตกรรม เทคโนโลยีต่างๆ

หากคุณสนใจโปรดติดต่อ เบอร์โทร 098-552-9292

Line ID : sirwilliams0551

 

รายละเอียดดังต่อไปนี้

เราทำบริการ SEO โดยใช้แนวคิด “พรหม” เพื่อสร้างชุมชนที่สนับสนุนธุรกิจนวัตกรรม โดยให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ธรรมชาติ เราทำงานร่วมกับนักเคลื่อนไหวทั่วโลกที่ชอบใช้ชีวิตด้วยความมีสติและพลังจิตวิญญาณ นอกจากนี้ เรายังมีส่วนร่วมในกิจกรรม Non-Sexual Activities โดยมี life style ในแบบ Naturist / Nudism

เรากำลังมองหานักเขียนเนื้อหาหรือผู้สร้างเนื้อหาที่มีประสบการณ์ด้านจิตวิญญาณจากภายใน เรากำลังให้บริการ SEO โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อติดต่อกับ Activist และฟรีแลนซ์หลายคนที่ชอบใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติและสามารถปฏิบัติในลักษณะ Naturist เพื่อจุดประสงค์ทางจิตวิญญาณเท่านั้น (ไม่ใช่กิจกรรมทางเพศ)

[เนื้อหาของเราจะอยู่ในหมวดหมู่เหล่านี้]
นวัตกรรม
การศึกษา
ศาสนาและความเชื่อ
ปรัชญา
มนุษยศาสตร์
เทคโนโลยี
มูเทลู / ไพ่ทาโรต์ / พลังจักรวาล
ความรักและความสัมพันธ์
ปรัชญาขององค์กร
จิตวิทยา
ศิลปะสวยงาม
Naturist, Nudism, นักเคลื่อนไหว Liberal

เรากำลังมองหาบุคคลที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้:

เพศ: ชายหรือหญิง
อายุ: 20 – 36 ปี
สถานที่: สามารถเดินทางและเข้าร่วมประชุมบริเวณใกล้เคียง ปิ่นเกล้า ได้
การศึกษา: จิตวิทยา, ศิลปะการสื่อสาร, สังคมศาสตร์, มนุษยศาสตร์, วิทยาศาสตร์ หรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ความสนใจส่วนบุคคล
✅ สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์
✅ สนใจโหราศาสตร์
✅ ใฝ่รู้เกี่ยวกับความลับของสสารและวิทยาศาสตร์วัสดุ
✅ มีประสบการณ์หรือสัมผัสพิเศษเกี่ยวกับการพยากรณ์
✅ สนใจศึกษาเทวปรัชญา (Theosophy)
✅ ชื่นชอบการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
✅ เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับ “เนโครแมนซี” (Necromancy)
✅ มีความสามารถทางจิตสัมผัสอื่นๆ (ยินดีต้อนรับ)

กิจกรรม
✅ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมแนว Naturist เพื่อสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์
✅ รักและสนใจการอนุรักษ์ธรรมชาติ
✅ สนใจทำงานร่วมกับองค์กร NGO ในด้านสิ่งแวดล้อม
✅ เข้าร่วมสัมมนาหรือเวทีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
✅ สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้

ทัศนคติ
✅ เปิดกว้างทางความคิด
✅ มีแนวคิดเชิงบวก
✅ รักการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
✅ มีภาวะผู้นำสูง
✅ ชื่นชอบการพบปะและสร้างมิตรภาพใหม่ๆ
✅ มีแนวคิดเติบโต (Growth Mindset)

 

หากคุณสนใจโปรดติดต่อ เบอร์โทร 098-552-9292

Line ID : sirwilliams0551

เป็นไปได้ – เทคนิคผู้ชายการมี Sex กับผู้หญิงหลายๆคนพร้อมกัน

ทำอย่างไรให้เราสามารถนอนกับผู้หญิงหลายๆคนได้พร้อมกัน โดยผู้หญิงรู้สึกดีกับข้อเสนอนี้แบบไม่รู้สึกหึงหวง

หากเราได้เสพย์หนังโป๊ (Porn) มันจะมีบางหมวด ที่เป็นหนังโป๊แบบ ผู้ชายมีเพศสัมพันธุ์กับผู้หญิงครั้งละหลายๆคน โดยผู้หญิงแต่ละคนมีความหื่นกระหาย

จากที่ได้รับรู้ insight ของการจัดจ้างนักแสดง คือเขาเอาคนที่มีชีวิตแบบนี้และมีมุมมองนี้เป็นเรื่องปกติ โดยค่าจ้างก็เทียบเท่าการแสดงหนังโป๊แบบอื่นๆ พูดง่าย นักแสดงหญิงนั้น มีประสบการณ์การใช้ชีวิตคู่ครองในแบบ 1 – หลายคนอยู่แล้ว

จากประสบการณ์ส่วนตัว การ Deal ผู้หญิง ให้ตกมาเป็นสาวยนเตียงของเรา นั้นทำได้ไม่ยาก แต่อาจต้องใช้เวลา และการศึกษาอยู่นานพอสมควร

ต้องมองตนเองก่อนว่าชอบแบบไหนกันแน่

  1. คุณเป็นแค่ผู้ชาย ที่มีแต่ความเจ้าชู้รักสนุก แบบฟันแล้วทิ้งเพื่อสนองความใคร่แบบอิสระ
  2. หรือ คุณอยากมีความสัมพันธุ์แบบ หลายๆคนพร้อมกัน ด้วยความจริงใจ

ถ้าเป็นอย่างที่สอง ผมสามารถช่วยคุณได้อย่างได้ผล

วิธีการทำให้ผู้หญิงยอมรับการมีเพศสัมพันธ์กับคุณได้ครั้งละหลายๆคน

  1. ผู้หญิงต้องไม่รู้สึกผิดเมื่อมี sex กับคุณพร้อมกันกับผู้หญิงคนอื่นๆ
  2. ผู้หญิงต้องไม่รู้สึกหึงหวง
  3. polygamous vs polygynous
  4. ต้องรู้ intent ของผู้หญิงที่จะมามีประสบการณ์มีเพศสัมพันธุ์กับคุณพร้อมคนอื่นๆ
  5. เข้าใจปัยหษทางจิตใจ และการปล่อยปล่อยที่เท่าเทียม
  6. เงินไม่ใช่คำตอบ แม้ไม่มีเงิน
  7. เทคนิคการเปิดตาที่สาม ศาสตร์แห่งการอ่านใจตนเอง และ สัญชาตญาณสัตว์

เงื่อนไข คร่าวๆ ที่ควรนำไปใช้

  1. ควรหาผู้หญิงที่อ่อนกว่าเรามากๆ อย่างน้อย 7 ปีขึ้นไป
  2. มีการสนทนาที่มีการเปิดกว้างความความคิด และมีการแลกเปลี่ยนที่เป็นทัศนะคติที่ดี
  3. มีกิจกรรมการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณ

เข้าใจ Concept ชีวิตเรื่องของ การมี sex หลายๆคน

  1. Polygamy –นิยามนี้เป็นคำกว้างสำหรับกลุ่มคนที่ไม่ได้มีชีวิตแบบผัวเดียวเมียเดียว
  2. Polygyny – เป็นนิยามของการที่ผู้ชาย 1 คนมีเมียได้หลายๆคน
  3. Polyandry – นิยามของ หญิง 1 คน มีสามีได้หลายๆคน
  4. Polygynandry – เป็นนิยามของ ผู้หญิงหลายๆคน มีผู้ชายหลายๆคน ทั้งหมดใช้ชีวิตร่วมกัน
  5. Polyamory – หรือ พหุรัก ความสัมพันธ์ที่บุคคลหนึ่งมีความรักหรือความผูกพันทางโรแมนติกกับคนหลายคนพร้อมกัน โดยที่ทุกคนในความสัมพันธ์รับรู้และยินยอม

หากสนใจเริ่มต้นความสัมพันธ์ ที่จะมี Sex แบบหลายๆคนพร้อมกันบนเตียงเดียวกันหรือสถานที่เดียวกัน อย่างไม่มีใครรู้สึกผิด และเป็นความสมัครใจยินยอมร่วมกัน

 

คุณสามารถเข้ามาศึกษ

สังคม สวิงกิ้งในประเทศไทย – โลกลับๆ แห่งความมั่งคั่ง

ลองคิดพิจารณาแล้ว การได้มาของ Sex แบบไม่จำกัด

กฏเกณฑ์ของลัทธิใต้ดินพวกนี้ ที่คุณต้องจำให้ขึ้นใจ

  • สำคัญที่สุดคือ ปกปิดตัวตนของตนเอง
  • รักษาความลับ
  • ปกปิดร่องรอยของ identity ของผู้อื่น อย่างตระหนักทราบ

สุดท้ายที่เรามองเห็นในลัทธินี้ ทุกคนจะใส่หน้ากากเข้าหากัน นั่นหมายถึง การสื่อถึงสัญลักษณ์ว่า ในสังคมของวงการนี้ เป็นเรื่องของการสร้างภาพลักษณ์ ที่เอาไว้ซ่อนตัวตนของตนเอง

แม้ว่า สุดท้ายแล้ว กลุ่มคนที่ผ่านการคัดเลือก เพียงไม่กี่คน ก็เข้าไปถึงชั้น พิรามิดบนๆ นั้นจะได้ถอดหน้ากากกัน เราเจอสัจจะธรรมว่า เนื้อแท้แล้ว เราเพียงมีแค่อัตตา

คนที่อุทิศให้กับวงการสวิงกิ้งในประเทศไทย เป็นเพียงการสนองตัณหา กิเลส เบื้องลึกในก้นบึ้งแห่งจิตใจ เราสามารถเข้าไปเรียนรู้ ความดิบแท้เดิมในนั้นได้ แต่สิ่งที่เราคิดคือ เราควรรู้จักวาง

เมื่อเราได้เรียนรู้แล้ว ก็ถอนตัวออกจากวงการ แล้วมาถ่ายทอดบอกต่อ ให้บุคคลที่กำลังสนใจ ได้ลองพิจารณาตนเอง หากว่ากำลังค้นหาตัวตน คุณเองสามารถมาทดลอง เข้าวงการนี้ ได้โดย ติดต่อที่