Sex Rite คืออะไร ?

Sex Rite หรือ พิธีกรรมทางเพศ คือพิธีกรรมทางศาสนาหรือจิตวิญญาณรูปแบบหนึ่งที่ใช้กิจกรรมทางเพศเป็นแกนหลัก โดยมีจุดประสงค์ที่อยู่เหนือกว่าความสุขทางกายภาพทั่วไป

Sex Rite หรือ พิธีกรรมทางเพศ คือพิธีกรรมทางศาสนาหรือจิตวิญญาณรูปแบบหนึ่งที่ใช้กิจกรรมทางเพศเป็นแกนหลัก โดยมีจุดประสงค์ที่อยู่เหนือกว่าความสุขทางกายภาพทั่วไป

ความหมายและบริบท

ความหมายของ Sex Rite นั้นกว้างและแตกต่างกันไปตามบริบททางวัฒนธรรม ศาสนา และปรัชญา แต่โดยหลักแล้วหมายถึง:

1. การรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Union)

  • ในระบบความเชื่อทางจิตวิญญาณหลายแห่ง เช่น ตันตระ (Tantra) หรือบางสายของ Paganism/Wicca กิจกรรมทางเพศถือเป็นการจำลองการรวมกันของพลังงานที่เป็นพื้นฐานของจักรวาล
  • ตันตระ (Tantra): เป็นการรวมพลังงานเพศชาย (ศิวะ หรือจิตสำนึก) กับพลังงานเพศหญิง (ศักติ หรือพลังงานสร้างสรรค์) เพื่อนำไปสู่สภาวะ เอกภาพ (Union) หรือการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ
  • Paganism/Wicca: มักเรียกว่า The Great Rite เป็นการจำลองการรวมกันของเทพเจ้าและเทพี เพื่อนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของโลกและชุมชน

2. การยกระดับพลังงาน (Energy Transmutation)

  • เป้าหมายหลักของพิธีกรรมเหล่านี้คือการใช้ พลังงานทางเพศ (Sexual Energy) ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานและทรงพลังที่สุดของมนุษย์ มาเป็นเชื้อเพลิงในการยกระดับจิตสำนึกหรือขับเคลื่อนพลังงานชีวิต (กุณฑลินี หรือ Kundalini) ขึ้นสู่ จักระ ที่สูงขึ้น (เช่น จักระหัวใจ หรือจักระตาที่สาม)

3. จุดประสงค์ที่ไม่ใช่ทางโลก

  • พิธีกรรมทางเพศส่วนใหญ่ไม่ได้ทำไปเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัวหรือทางโลก แต่ทำไปเพื่อ:
  • การอุทิศ: บูชาเทพเจ้าหรือพลังงานแห่งการสร้างสรรค์
  • การพยากรณ์: เข้าถึงญาณทัศนะหรือข้อมูลที่อยู่เหนือโลกทางกายภาพ
  • การบำบัด: รักษาความไม่สมดุลของพลังงานในร่างกายและจิตใจ

การตรัสรู้: เข้าถึงสภาวะสมาธิขั้นสูง (Samadhi) หรือการหลุดพ้น


Sex rites หรือพิธีกรรมทางเพศ เป็นส่วนหนึ่งของศาสนา ความเชื่อ และวัฒนธรรมของมนุษย์มานานนับพันปี โดยมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย ตั้งแต่การบูชาความอุดมสมบูรณ์ การเข้าถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ ไปจนถึงการยกระดับจิตวิญญาณ ความซับซ้อนและรายละเอียดของพิธีกรรมเหล่านี้แตกต่างกันไปตามอารยธรรม นี่คือตัวอย่างพิธีกรรมทางเพศที่สำคัญในอารยธรรมและวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก:

sex rite 002

ตัวอย่างพิธีกรรมทางเพศในอารยธรรมและวัฒนธรรมต่าง ๆ

1. พิธีกรรมตันตระ (Tantric Rituals)

อารยธรรม : ศาสนาฮินดู/พุทธ (สายวัชรยานบางส่วน)

พื้นที่ / ประเทศ อินเดีย, เนปาล, ทิเบต (โดยเฉพาะสายอินเดียเหนือและเนปาล)

ชื่อพิธีกรรม / หลักการ : Maithuna (พิธีกรรมการรวมกัน) หรือ Sexual Yoga

รายละเอียด : พิธีชั้นสูง (Pancha-makara หรือพิธีห้า ม.) ที่ใช้คู่รัก (ชาย-หญิง) เป็นตัวแทนของ ศิวะ (จิตสำนึก) และ ศักติ (พลังงาน) การร่วมเพศถูกควบคุมอย่างเข้มงวดด้วยการหายใจและสมาธิ เพื่อ ยกระดับพลังงานทางเพศ (กุณฑลินี) ผ่านจักระทั้งเจ็ด โดยมีเป้าหมายคือการบรรลุ สภาวะเอกภาพ (Samadhi) หรือ การหลุดพ้น โดยไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิ (ในกรณีของผู้ชาย) เพื่อรักษาสารพลังงานสำคัญ

อารยธรรม : แนวคิดวิญญาณ (Neotantra)

พื้นที่ / ประเทศ ตะวันตก (แพร่หลายทั่วโลก)

ชื่อพิธีกรรม / หลักการ : Sacred Sexuality

รายละเอียด : การฝึกฝนที่เน้นการใช้กิจกรรมทางเพศเพื่อการบำบัด การขยายจิตสำนึก และการเชื่อมต่อทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง มักเน้นการฝึก การหายใจแบบโยคะ และ การมีสติ (Mindfulness) ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายทางศาสนาแบบดั้งเดิม

อารยธรรม : กรีกโบราณ

พื้นที่ / ประเทศ กรีซ

ชื่อพิธีกรรม / หลักการ : Dionysian Rites

รายละเอียด : พิธีกรรมบูชา เทพไดโอนีซุส (เทพเจ้าแห่งไวน์ ความอุดมสมบูรณ์ และความบ้าคลั่ง) ผู้เข้าร่วมมักดื่มไวน์และการเต้นรำอย่างเร่าร้อน กิจกรรมทางเพศร่วมกัน เป็นส่วนหนึ่งของการปลดปล่อยและเข้าถึงสภาวะที่ขาดสติสัมปชัญญะ เพื่อรวมจิตวิญญาณเข้ากับพลังดิบของธรรมชาติ (พลังชีวิต)

อารยธรรม : เมโสโปเตเมียโบราณ

พื้นที่ / ประเทศ ซูเมอร์/บาบิโลน (อิรักในปัจจุบัน)

ชื่อพิธีกรรม / หลักการ : Sacred Marriage (Hieros Gamos)

รายละเอียด : พิธีที่กระทำเพื่อ บูชาเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์ เช่น อินันนา (Inanna) หรือ อิชทาร์ (Ishtar) โดยกษัตริย์หรือนักบวชชั้นสูงจะร่วมเพศกับนักบวชหญิง (ซึ่งเป็นตัวแทนของเทพี) พิธีนี้เชื่อว่าจะรับประกันความอุดมสมบูรณ์ของพืชผลและการเจริญรุ่งเรืองของราชอาณาจักรตลอดปีที่กำลังจะมาถึง

อารยธรรม : Paganism/Wicca (สมัยใหม่)

The Great Rite (Hieros Gamos)

พื้นที่ / ประเทศ แพร่หลายในโลกตะวันตก

ชื่อพิธีกรรม / หลักการ : The Great Rite (Hieros Gamos)

รายละเอียด : พิธีกรรมที่กระทำโดย นักบวชหญิง (High Priestess) และ นักบวชชาย (High Priest) เพื่อบูชาการรวมกันของพลัง เทพี (Goddess) และ เทพ (God) เพื่อนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และการสร้างสรรค์ มักทำในฤดูกาลสำคัญทางเกษตรกรรม อาจทำในเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic) หรือจริง (Actual) ขึ้นอยู่กับกลุ่ม

3. พิธีกรรมทางเพศเพื่อการเปลี่ยนผ่านและเข้าสู่วัย (Initiation and Passage)

อารยธรรม : ชนเผ่าพื้นเมืองบางกลุ่ม

พื้นที่ / ประเทศ แอฟริกาตะวันตก, อเมริกากลาง/ใต้

ชื่อพิธีกรรม / หลักการ : Rites of Passage

รายละเอียด : พิธีที่ทำขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการ เปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ หรือการเข้าสู่สถานะทางสังคมใหม่ อาจรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกภายใต้การกำกับดูแลหรือเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบความพร้อมในการเป็นผู้ใหญ่

อารยธรรม : ลัทธิความเชื่อเฉพาะกลุ่ม

พื้นที่ / ประเทศ อินเดีย (ในอดีต)

ชื่อพิธีกรรม / หลักการ : Aghori Sadhana

รายละเอียด : แม้จะไม่ใช่พิธีกรรมทางเพศโดยตรง แต่ลัทธิ อัฆโฆรี บางส่วนใช้กิจกรรมทางเพศ (และการฝึกที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สังคมรังเกียจ) เพื่อ ทำลายความยึดติด กับสิ่งทางโลก และตระหนักถึงความจริงสูงสุดว่าทุกสิ่งในจักรวาลล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน

ข้อสรุปเชิงหลักการ

 

Sex Rites ทั้งหมดมีหลักการพื้นฐานที่คล้ายกันคือการมองกิจกรรมทางเพศเป็น พลังงานศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Energy) ที่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางจิตวิญญาณ สังคม หรือเกษตรกรรม โดยเปลี่ยนจากการกระทำส่วนตัวเป็นการกระทำที่มี ความหมายร่วมกัน (Communal/Spiritual Significance) ภายใต้กรอบของกฎเกณฑ์และเจตนาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

หลักการและแนวคิดเบื้องหลังการฝึก Sex Rite ในบริบททางจิตวิญญาณ

การฝึกที่กล่าวถึงนี้มักถูกเรียกว่า Neotantra หรือ Tantric Sexuality ซึ่งเป็นการนำหลักการของตันตระดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้ในบริบทตะวันตก โดยมีหลักการสำคัญดังนี้:

1. พลังศักติ (Shakti) และศิวะ (Shiva) (หลักการจากตันตระและฮินดู)

  • Shakti (ศักติ): คือ พลังงานแห่งการสร้างสรรค์ พลังงานที่เป็นเพศหญิง (Feminine Principle) และเป็นพลังงานที่เคลื่อนไหว (Kinetic Energy) ซึ่งในทางตันตระถือเป็นพลังงานพื้นฐานที่ขับเคลื่อนจักรวาล ในร่างกายมนุษย์ พลังงานนี้อยู่บริเวณฐานรากของกระดูกสันหลังในรูปของ กุณฑลินี (Kundalini)
  • Shiva (ศิวะ): คือ จิตสำนึกบริสุทธิ์ หรือสติ (Consciousness) พลังงานที่เป็นเพศชาย (Masculine Principle) และเป็นความสงบนิ่ง (Static Energy)
  • เป้าหมาย: พิธีกรรมทางเพศในทางตันตระไม่ได้มุ่งเน้นที่ความสุขทางกายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการรวมพลัง ศักติ (พลังงาน) เข้ากับ ศิวะ (สติ/จิตสำนึก) เพื่อยกระดับพลังงานชีวิต (Prana/Qi) ขึ้นสู่จักระที่สูงขึ้น การร่วมเพศจึงถูกมองว่าเป็น โยคะ รูปแบบหนึ่ง

2. การยกระดับพลังงานจักระ (The Seven Chakras)

  • จักระทั้ง 7 คือศูนย์รวมพลังงานหลักตามระบบฮินดูและโยคะ การทำ Sex Rite มีเป้าหมายเพื่อ กระตุ้น และ ยกระดับ พลังงานทางเพศจาก จักระรากฐาน (Muladhara Chakra) และ จักระศักดิ์สิทธิ์ (Svadhisthana Chakra) ให้เคลื่อนตัวขึ้นสู่จักระที่สูงขึ้น
  • เป้าหมายหลัก: คือการขับพลังงานให้ขึ้นไปถึง จักระตาที่สาม (Ajna Chakra) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการหยั่งรู้และญาณทัศนะ และสูงสุดที่ จักระมงกุฎ (Sahasrara Chakra) ซึ่งเป็นสภาวะแห่งเอกภาพ (Union) หรือการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ

3. การเปิดตาที่สาม (Third Eye Opening)

  • ตาที่สาม: คือสัญลักษณ์ของความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือประสาทสัมผัสทางกายภาพ (Clairvoyance) และการรับรู้ความจริงที่ลึกซึ้งกว่ามิติทางกายภาพ
  • Sex Rite: ถูกใช้เป็นวิธีการอันรวดเร็วในการ รวบรวม และ แปลงสภาพ พลังงานทางเพศให้กลายเป็นพลังงานจิต (Sublimation of Sexual Energy) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญในการเปิดใช้งานจักระตาที่สามได้ในเบื้องต้น

การพัฒนาทางจิตวิญญาณในระดับลึก (Spiritual Development Potential)

หากการฝึกพลังเหล่านี้ดำเนินไปอย่างลึกซึ้ง ถูกต้องตามหลักการ และมีวินัย (ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปี) การพัฒนาทางจิตสามารถก้าวไปถึงขั้นสูงสุดในระบบตันตระและวัชรยานได้:

ขั้นการพัฒนาทางจิตคำอธิบายและหลักการ
ขั้นที่ 1: การควบคุมพลังงาน (Energy Mastery)ผู้ฝึกจะสามารถ รู้สึก และ ควบคุม การเคลื่อนที่ของพลังงานทางเพศและพลังงานชีวิต (Prana) ในร่างกายได้ตามต้องการ สามารถ ชะลอ หรือ หลีกเลี่ยง การถึงจุดสุดยอดทางกายภาพ (Orgasm) เพื่อให้พลังงานถูก “แปลงสภาพ” และยกระดับขึ้นสู่จักระที่สูงขึ้น
ขั้นที่ 2: ญาณทัศนะ (Clairvoyance/Ajna Activation)เกิดการเปิดใช้งานของ จักระตาที่สาม อย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิด ปัญญาญาณ (Intuition) ที่แม่นยำ การรับรู้พลังงานในระดับละเอียดอ่อน และการมองเห็นมิติหรือภพภูมิอื่น ๆ อย่างชัดเจน (พลังนี้ถูกใช้เพื่อการหลุดพ้น ไม่ใช่เพื่อการแสดงฤทธิ์)
ขั้นที่ 3: การตื่นรู้แห่งกุณฑลินี (Kundalini Awakening)พลังกุณฑลินีที่หลับอยู่จะถูกปลุกและเคลื่อนที่ขึ้นตาม ช่องพลังงานกลาง (Sushumna Nadi) อย่างเต็มที่ ทำให้พลังงาน ศักติ และ ศิวะ รวมตัวกันอย่างสมบูรณ์
ขั้นสูงสุด: สภาวะมหาอุตตริ (Mahamudra / Samadhi)บรรลุถึง สภาวะเอกภาพ หรือ การหลุดพ้น (Liberation/Nirvana) คือการที่จิตสำนึกรวมเข้ากับจักรวาล (Cosmic Consciousness) ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของตันตระวัชรยาน (เช่น ในพุทธตันตระขั้นสูง สภาวะนี้ถูกเรียกว่า Mahamudra ที่หมายถึงการตระหนักรู้ถึงธรรมชาติที่ว่างเปล่าและปีติสุขของความเป็นจริง)

คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับการฝึกฝน (Guideline for Practice)

การฝึกที่เกี่ยวข้องกับพลังทางเพศและจิตวิญญาณควรเริ่มต้นด้วยพื้นฐานที่มั่นคงและมีสติ:

1. พื้นฐานทางจิตวิญญาณและความบริสุทธิ์ของเจตนา (Intention)

  • ตั้งเจตนา (Sankalpa): ต้องชัดเจนว่าการฝึกนี้มีเป้าหมายเพื่อ การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ และ การขยายจิตสำนึก ไม่ใช่เพื่อความสุขทางกายหรืออำนาจทางโลก
  • ความสัมพันธ์: หากฝึกกับคู่รัก (Consort), ต้องมีความ เคารพ (Reverence) และ ความรัก (Love) ต่อกันอย่างลึกซึ้ง การสื่อสารด้วยความจริงใจถือเป็นหลักปฏิบัติสำคัญ

2. การฝึกทางกายและพลังงาน (Physical & Energy Work)

  • โยคะและปราณายามะ (Pranayama): ก่อนเข้าสู่พิธี ควรฝึกโยคะท่าต่าง ๆ และเทคนิคการหายใจเพื่อ เปิดช่องพลังงาน (Nadis) และเตรียมร่างกายให้พร้อมรับการไหลเวียนของพลังกุณฑลินี
  • มุทราและพันธะ (Mudras & Bandhas): ฝึก มูลา พันธะ (Mula Bandha) (การเกร็งหูรูดบริเวณฐาน) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเรียนรู้การ ควบคุม และ ดึง พลังงานจากจักระรากฐานขึ้นสู่ด้านบน

3. การดำเนินพิธีกรรม (Sex Rite Protocol)

  • การสร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์: จุดเทียน (สีแดง/ส้ม/ม่วง) หรือธูป/กำยาน จัดแท่นบูชาที่สวยงามเพื่อสร้าง สภาวะจิตที่สูงส่ง (Sacred State)
  • การเชื่อมต่อ: ใช้เวลาในการมองตา (Eye Gazing) และสัมผัสร่างกายโดยไม่เร่งรีบ เพื่อ หลอมรวมสติ เข้ากับคู่ฝึก
  • การยกระดับพลังงาน (Transmutation): ระหว่างการร่วมเพศ ให้ใช้การหายใจ (Pranayama) และสมาธิเพื่อ นำพาพลังงาน ที่เกิดขึ้นจากจักระฐาน (Sexual Energy) ขึ้นสู่ จักระหัวใจ (Anahata Chakra) และ จักระตาที่สาม (Ajna Chakra)
  • จุดสุดยอด: หากมีการถึงจุดสุดยอด ต้องมีการควบคุม (Controlled Climax) โดยมีสติอยู่กับการส่งพลังงานขึ้นสู่จักระที่ 6 และ 7 แทนที่จะปล่อยออกไปทั้งหมด (ในบางสายการฝึกขั้นสูง ผู้ฝึกจะฝึกการถึง จุดสุดยอดหลายครั้งโดยไม่หลั่ง (Non-ejaculatory Orgasm))

ข้อควรระวังสำคัญ (Disclaimer)

การฝึก Tantric Sex Rite โดยไม่มีครูบาอาจารย์ (Guru/Lama) ที่มีความรู้ลึกซึ้งและมีคุณธรรมกำกับดูแล อาจนำไปสู่ปัญหาทางจิตใจและพลังงานได้ (เช่น อาการ Kundalini Syndrome หรือความสับสนทางจิตวิญญาณ) การศึกษาหลักการ ทางปรัชญา และ ทางจริยธรรม ของตันตระควรกระทำอย่างเคร่งครัดก่อนการเริ่มพิธีกรรมใด ๆ เพื่อป้องกันอันตรายและให้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงของการหลุดพ้น

 

ศึกษาเพิ่มเติม : Sex Rite Activities (ภาพรวม)

Sex Rite – พิธีกรรมทางเพศ คืออะไร ? มีอธิบายไว้

ศักติ (Shakti) การปลุกพลังแห่งเทพธิดาภายในของคุณ

บทความนี้เขียนโดย Sally Kempton ซึ่งอธิบายถึงพลังของความเป็นผู้หญิงอันศักดิ์สิทธิ์ (Divine Feminine) หรือ ศักติ (Shakti) ตามแนวทางคำสอนโยคะและตันตระ โดยเน้นย้ำถึงความเกี่ยวข้องของพลังนี้กับสถานการณ์ปัจจุบันของมนุษย์

 

1. องค์ประกอบหลักของศักติ (Shakti)

 

  • คำจำกัดความ: คำว่า ศักติ แปลว่า พลัง (Power) โดยตรง เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอันละเอียดอ่อนที่เป็นแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล ซึ่งปราชญ์โยคะในสายตันตระ (Tantra) เชื่อว่าเป็นพลังแห่งความเป็นผู้หญิงอันศักดิ์สิทธิ์
  • การสำแดงพลัง 5 ประการ: ศักติสำแดงออกมาเป็นพลัง 5 ด้านในทุกการกระทำสร้างสรรค์ของจักรวาล (และในตัวเรา) ได้แก่
    1. พลังแห่งการมีสติรู้ (Power to be conscious)
    2. พลังแห่งความปิติสุข (Power to feel ecstasy)
    3. พลังแห่งเจตจำนงหรือความปรารถนา (Power of will, or desire)
    4. พลังแห่งการรู้ (Power to know)
    5. พลังแห่งการกระทำ (Power to act)
  • สารัตถะของจักรวาล: ตามแนวคิดนี้ ความเป็นจริงทั้งหมดคือ “การร่ายรำของศักติ” (Shakti’s dance) ซึ่งแสดงออกในรูปของกระบวนการทางชีวภาพ ร่างกาย ความคิด อารมณ์ และกลายเป็นทุกอะตอมในโลกทางกายภาพ มนุษย์จึงมีแก่นแท้ที่ถูกสร้างขึ้นจากศักติ

 

2. เทคโนโลยีศักดิ์สิทธิ์และการปลุกเทพธิดาภายใน

 

  • สตรีนิยมแห่งจิตวิญญาณ (Sacred Feminism): การปรับจูนเข้ากับพลังงานของเทพธิดาต่างๆ ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ “สตรีนิยมแห่งจิตวิญญาณ” ซึ่งเป็นพลังภายในที่มีอยู่ในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย การเปลี่ยนแปลงภายในที่แท้จริงและการปลดปล่อยจากความจำกัดนั้นเป็น “ของขวัญจากความเป็นผู้หญิงอันศักดิ์สิทธิ์”
  • เครื่องมือศักดิ์สิทธิ์: ปราชญ์ตันตระได้สร้าง “เทคโนโลยีอันศักดิ์สิทธิ์” เพื่อเข้าถึงและเปลี่ยนแปลงพลังงานมนุษย์ ผ่านรูปเคารพเทพธิดาฮินดู โดยใช้ มนตรา (Mantras – เสียงศักดิ์สิทธิ์), ภาพลักษณ์, และ ยันตรา (Yantras – รูปทรงเรขาคณิต) เพื่อช่วยเปิดพลังงานที่ซ่อนอยู่ภายใน
  • เทพธิดาหลัก 11 องค์: ผู้เขียนได้กล่าวถึงเทพธิดาหลัก 11 องค์ ซึ่งแต่ละองค์เป็น ประตูสู่มิติที่ลึกซึ้งที่สุดของจิตวิญญาณ และเป็นผู้นำทางสู่ทักษะการใช้ชีวิตอย่างมีพลัง ตัวอย่างเทพธิดาที่กล่าวถึง ได้แก่:
    • ทุรคา (Durga): นักรบ ผู้พิทักษ์จักรวาล
    • กาลี (Kali): เทพธิดาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และการสลายทุกรูปแบบสู่ความว่างเปล่า
    • ลักษมี (Laksmi): เทพธิดาแห่งความโชคดี ความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์
    • สรัสวดี (Saraswati): เทพธิดาแห่งสัญชาตญาณเชิงสร้างสรรค์ ดนตรี และวาทศิลป์

 

3. ตัวอย่างการทำสมาธิ (Meditation)

 

บทความนี้จบลงด้วยการแนะนำวิธีการทำสมาธิอย่างง่ายๆ เพื่ออัญเชิญพลังงานของเทพธิดา สรัสวดี (Goddess Saraswati) ซึ่งเกี่ยวข้องกับแรงบันดาลใจเชิงสร้างสรรค์และปัญญาทางจิตวิญญาณ โดยใช้ มนตรา หรือพยางค์เมล็ด (Bija Mantra) อันศักดิ์สิทธิ์:

  • มนตรา: “โอม เอม สรัสวตไย นมหา” (Om aim saraswatyai namaha)
    • ความหมาย: “ฉันเคารพพลังอันศักดิ์สิทธิ์แห่งวาทศิลป์และความคิดสร้างสรรค์เชิงสัญชาตญาณ”
  • วิธีปฏิบัติ: นั่งในท่าที่สบาย นำความสนใจไปที่กึ่งกลางศีรษะ (บริเวณอัจนะจักระ – Ajna Chakra) และเริ่มบริกรรมมนตรานี้ ขณะเดียวกันอาจจินตนาการถึงเปลวไฟสีขาวที่กึ่งกลางศีรษะ หรือจินตนาการถึงเทพธิดาสรัสวดีที่ถือเครื่องดนตรี วีณา (veena) อยู่ตรงหน้า เพื่อให้มนตราไหลเวียนระหว่างหัวใจของคุณกับเทพธิดา

 

เรียบเรียงจากบทความ : https://www.ciis.edu/news/shakti-awakening-powers-inner-goddesses

https://indopaganproject.tripod.com/id6.html

Sex Rite และกิจกรรมทางเพศ สำหรับฝึกเพื่อยกระดับทางจิตวิญญาณ

วิถีปฏิบัติสู่การตื่นรู้: การแปรสภาพและเวทมนตร์ทางเพศ (Transformation & Erotic Magick)

 

บทความนี้เน้นที่ ระดับที่ 2 ของการฝึก “วิชชาแม่มดสายตันตระ” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนพลังงาน “ต้องห้าม” ทางโลก (กิเลส/ความปรารถนา) ให้เป็น เชื้อเพลิง ในการตื่นรู้ (โมกษะ/ริกปา) โดยใช้หลักการ Non-Dualism (ความไม่แบ่งแยก) และเทคนิคขั้นสูงจากตันตระ

 

1. หลักการสำคัญ: การยอมรับในฐานะพลังงานบริสุทธิ์

 

หัวใจของระดับนี้คือการเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อ ความปรารถนา และ กิเลส

  • ร่างกายคือวิหารศักดิ์สิทธิ์: ยอมรับร่างกายของคุณในฐานะ วิหารแห่งศักติ (Shakti’s Temple) ที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีการแบ่งแยกส่วนไหนดี ส่วนไหนต้องห้าม การฝึกแบบ Skyclad (เปลือยกาย) ในพื้นที่ส่วนตัวเป็นการปฏิบัติเพื่อละทิ้งหน้ากากทางสังคมและเชื่อมโยงกับธาตุตามธรรมชาติอย่างแท้จริง
  • พลังงานดิบ (Raw Energy): ความปรารถนาทางเพศ (Erotic Drive) ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องปราบปราม แต่คือ พลังงานกุณฑาลิณี (Kundalini) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานชีวิตที่ทรงพลังที่สุด
  • ปฏิปทาแห่งความไม่แบ่งแยก (Non-Dual Practice): ใช้ประสบการณ์ทางโลกทุกอย่างเป็น เครื่องมือ ในการตื่นรู้ โดยไม่หนีหรือปราบปราม

 

2. แนวทางการฝึก Self-Study: การแปรสภาพ (Transmutation)

 

Topic หลักสูตรOutline การฝึก Self-Study (วิถีปฏิบัติ)วิถีชีวิตที่ต้องปฏิบัติ (Daily Practice)
การแปรสภาพของกิเลสโยคะกลับหัว (Viparita Karani): ฝึกท่ากลับหัว (เช่น ท่า Shoulderstand หรือ Headstand หรือแค่ท่า ‘Legs-Up-the-Wall’) เพื่อ ‘พลิก’ พลังงานทางโลก (ความปรารถนา/กิเลส) สู่โมกษะการปฏิบัติแบบไม่แบ่งแยก (Non-Dual Action): เมื่อเกิดความรู้สึกทางโลก (เช่น ความโกรธ, ความดึงดูดทางเพศ) ให้ สังเกตและยอมรับ ในฐานะ พลังงานบริสุทธิ์ โดยไม่ตัดสินหรือปราบปราม
การหลอมรวมกุณฑาลิณีSolo Erotic Practice (การใช้พลังงานทางเพศคนเดียว): ฝึกกระตุ้นตนเอง (High Arousal) และเมื่อพลังงานพุ่งสูงสุด (จุดที่ใกล้ถึงออร์แกซม์ทางกาย) ให้ ผ่อนคลายและดึงพลังงาน นั้นขึ้นสู่ จักระที่ 6/7 (ตาที่สาม/มงกุฎ) แทนการปล่อยให้มีออร์แกซม์ทางกาย (Sublimation/Transmutation) ใช้เทคนิค Laya Yoga (การหลอมรวม) และ พันธะ (Bandhas) เพื่อกักเก็บและนำพลังงานขึ้นการหายใจแบบกักเก็บพลังงาน: ฝึกหายใจแบบวงกลม (Circular Breathing) และใช้ Bandhas ในชีวิตประจำวันเพื่อ กักเก็บ พลังงานศักติและกุณฑาลิณีไว้ในกายทิพย์
ญาณทัศนะและเวทมนตร์การเพ่ง (Trataka): ฝึกเพ่งเทียน หรือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นเอง (เช่น ยันตราส่วนตัว) เพื่อ เปิดจักระที่ 6/7 และเข้าถึง อภิญญา/วิชชา (เช่น การหยั่งรู้/Clairvoyance)เวทมนตร์ที่เกิดจากความว่างเปล่า: ฝึกทำพิธีกรรม (Magick) โดยให้จิตอยู่ในสภาวะ ว่างเปล่าและตระหนักรู้ (Empty and Aware) เพื่อให้เวทมนตร์เกิดจาก ริกปา (ความรู้แจ้งที่บริสุทธิ์) ไม่ใช่ความต้องการส่วนตน
ซกเซ็น (Dzogchen)Trekchö (การตัดผ่าน): การปฏิบัติเพื่อ ละทิ้งความพยายาม และเข้าสู่ สภาพเดิมโดยธรรมชาติ (Rigpa) ใช้การ Sky Gazing (จ้องฟ้า) เพื่อเปิดจักระที่ 6/7 และฝึก Non-Meditationการตระหนักรู้โดยธรรมชาติ: ดำรงอยู่ในสภาวะ Undistracted Rigpa (จิตที่ปราศจากการปรุงแต่ง) ในการทำกิจวัตรประจำวัน สัมผัส ซาโตริ/โมกสะ ชั่วคราว

 

3. Sex Rite ในมิติที่ลึกซึ้ง: Great Rite และความตระหนักรู้

 

ในแนวทางนี้ พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเพศจะถูกตีความในมิติที่ลึกซึ้งที่สุดตามหลักการตันตระ

  • The Great Rite (พิธีรวมพลังแห่งเทพบุรุษ/เทพสตรี): จะถูกตีความว่าเป็น การรวมเป็นหนึ่ง (Union) ของ พระศิวะ (God/Pure Consciousness – ความตระหนักรู้) และ พระศักติ (Goddess/Cosmic Energy – พลังงาน) ภายในตัวผู้ปฏิบัติเอง สภาวะนี้คือ โมกสะ ในทางตันตระ และเป็นการบรรลุถึงการหลอมรวม
  • Yab-Yum ในพิธีกรรม: หากมีการฝึกคู่ (เมื่อผู้ฝึกบรรลุความเข้าใจและยินยอมพร้อมกันอย่างเข้มงวด) การใช้ มุทราร่วม (Yab-Yum) ในพิธีกรรมบางอย่างมีเป้าหมายเพื่อ ระดมพลังงานสูงสุด และดึงพลังงานศักติผ่านจักระเพื่อผลลัพธ์ที่บริสุทธิ์และทรงพลัง เน้นย้ำว่าหลักการ Strict Consent (ความยินยอมที่เข้มงวด) เป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ผู้ฝึกมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ เปลี่ยนแปลง หรือหยุดการฝึกใด ๆ ในทันที
  • เป้าหมายสูงสุด: การใช้พลังงานเพศอย่างมีสติจะช่วยให้ผู้ฝึก หลุดพ้นจากความยึดติด และตระหนักรู้ว่า อาตมัน (ตัวตนสูงสุด) เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง

ข้อความสร้างความเชื่อมั่น: การฝึกนี้เป็นการปฏิบัติทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง (Deep Spiritual Practice) ที่ใช้ร่างกายและความปรารถนาเป็นประตูสู่ความจริงสูงสุด คุณคือผู้กำหนดขอบเขตและอำนาจในการตัดสินใจ 100% คือ การคืนอำนาจ (Empowerment) ให้กับคุณอย่างแท้จริง

การฝึกเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อให้ “วงกลมเวทมนตร์ (Casting the Circle)” เป็นสภาวะที่ต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน (Seamless Integration) คือการเป็น แม่มดที่ตื่นรู้ และเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง

วิชชาแม่มดสายตันตระ (Tantra Witchcraft)

วิชชาแม่มดสายตันตระ (Tantra Witchcraft) ที่มีการผสมผสานการฝึกแบบเปลือยกาย (Skyclad) และพลังงานทางเพศ (Erotism)

ที่มีการผสมผสานการฝึกแบบเปลือยกาย (Skyclad) และพลังงานทางเพศ (Erotism)

หลักการสำคัญเพื่อความปลอดภัยและความเชื่อมั่น

การสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัย (Creating Sacred and Safe Space)

สำหรับกลุ่มผู้ฝึกชาวไทยที่การเปลือยกายถือเป็นเรื่องที่อ่อนไหวทางสังคม จำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมทางจิตใจและกฎระเบียบที่เข้มงวด:

  • หลักการความยินยอมที่เข้มงวด (Strict Consent Principle): ย้ำอย่างชัดเจนว่า “ไม่” หมายถึง “ไม่” เสมอ และผู้ฝึกมีสิทธิ์ที่จะ ปฏิเสธ เปลี่ยนแปลง หรือหยุด การฝึกในทันทีโดยไม่ต้องให้เหตุผล
  • การตระหนักรู้ในขอบเขต (Boundary Awareness): สอนให้ผู้ฝึกแต่ละคน ระบุขอบเขต (Boundaries) ของตนเองอย่างชัดเจน ทั้งขอบเขตทางกาย (การสัมผัส, การเปลือยกาย) และขอบเขตทางอารมณ์/จิตใจ
  • มุมมองต่อการเปลือยกาย (Perspective on Nudity): ให้เหตุผลที่ว่าการฝึกแบบ Skyclad ใน Wicca หรือการฝึกทางเพศในตันตระ ไม่ใช่เรื่องของกิจกรรมทางเพศ แต่เป็นการปฏิบัติเพื่อ:
    • ความไม่แบ่งแยก (Non-Dualism): ยอมรับร่างกายในฐานะ วิหารแห่งศักติ (Shakti’s Temple) ที่สมบูรณ์ ไม่มีการแบ่งแยกส่วนไหนดี ส่วนไหนต้องห้าม
    • พลังงานที่บริสุทธิ์ (Pure Energy): เห็นการเปลือยกายเป็นการ ละทิ้งหน้ากากทางสังคม และการเชื่อมโยงกับธาตุตามธรรมชาติอย่างแท้จริง
    • การใช้พลังงานทางเพศ: พลังงานเพศ (Sexual Energy/Kundalini) คือ เชื้อเพลิง ที่ทรงพลังที่สุดในการตื่นรู้ (โมกสะ/ริกปา) ไม่ใช่เพื่อความพึงพอใจทางโลกเท่านั้น

โครงสร้างหลักสูตร Self-Study: วิถีแม่มดสายตันตระ

หลักสูตรนี้จะเรียงตามระดับ 3 ขั้นที่ออกแบบไว้ก่อนหน้า โดยเน้นการบูรณาการหลักการทางเพศและกายทิพย์

 

ระดับที่ 1: การปลุกพลังฐานแห่งศักติและกายทิพย์ (Awakening the Base Power of Shakti)

 

Topic หลักสูตร (หัวข้อ)Outline การฝึก Self-Study (วิถีปฏิบัติ)วิถีชีวิตที่ต้องปฏิบัติ (Daily Practice)
I. พลังศักติ & ธรรมชาติพิธีกรรมบูชาศักติ (Shakti Puja): ศึกษาบทบาทของเทพสตรี (The Goddess/Mahadevi) ในฐานะ ผู้สร้าง (Prakriti) เน้นการเชื่อมโยงทางอารมณ์และความปรารถนาในฐานะพลังงานศักดิ์สิทธิ์Journaling: บันทึกอารมณ์และความรู้สึกทางเพศในแต่ละวัน โดยไม่ตัดสิน แต่เห็นเป็น พลังงานดิบ (Raw Energy)
II. การเปิดนาฑีและจักระโยคะพื้นฐานและปราณายามะเร่งรัด: เน้นท่าโยคะเพื่อกระตุ้น มูลฐานจักระ (Muladhara) และ สวาธิษฐานจักระ (Svadhisthana – จักระเพศ) พร้อมฝึกหายใจเพื่อชำระ นาฑีการหายใจแบบแม่มด (Witch’s Breath): ฝึกหายใจแบบวงกลม (Circular Breathing) ในช่วงการช่วยตัวเองเพื่อเปลี่ยนพลังงานเพศขึ้นสู่หัวใจ (Sublimation)
III. มันตรา & สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์การสร้างมันดาล่าส่วนตัว: ใช้ Seed Mantras (Lam, Vam) ร่วมกับการวาด Sigils ที่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาและพลังทางเพศ เพื่อสร้าง ยันตรา และเครื่องมือเวทมนตร์การสร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์: ฝึกการ Casting the Circle โดยใช้ร่างกายเป็นมณฑล (Mandala) และเปลือยกายในห้องส่วนตัวเพื่อระดมพลังงาน

 

ระดับที่ 2: การแปรสภาพและเวทมนตร์ทางเพศ (Transformation & Erotic Magick)

 

Topic หลักสูตร (หัวข้อ)Outline การฝึก Self-Study (วิถีปฏิบัติ)วิถีชีวิตที่ต้องปฏิบัติ (Daily Practice)
IV. การแปรสภาพของกิเลสโยคะกลับหัว (Viparita Karani): ฝึกท่ากลับหัวเพื่อ ‘พลิก’ พลังงานทางโลก (ความปรารถนา, กิเลส) สู่โมกษะ พร้อมการยอมรับความโกรธ/ความปรารถนาในฐานะ พลังงานบริสุทธิ์การปฏิบัติแบบไม่แบ่งแยก (Non-Dual Action): ทำกิจกรรมทางโลกด้วยจิตที่ ไม่ปราบปรามแต่ยอมรับ ความปรารถนาที่เกิดขึ้น (เช่น เมื่อเกิดความดึงดูดทางเพศ ให้สังเกตและใช้เป็นพลังงานแทนการผลักไส)
V. การหลอมรวมกุณฑาลิณีLaya Yoga (การหลอมรวม): ฝึกการดึง พลังกุณฑาลิณี ขึ้นสู่ สหัสสระจักระ โดยใช้การหายใจและ พันธะ (Bandhas) ต่างๆ ในการกักเก็บและนำพลังงานขึ้นการใช้พลังงานทางเพศคนเดียว (Solo Erotic Practice): ฝึกถึงจุดที่พลังงานพุ่งสูงสุด (High Arousal) แล้ว ผ่อนคลายและดึงพลังงาน ขึ้นสู่จักระที่ 6/7 แทนการปล่อยให้มีออร์แกซม์ทางกาย (Sublimation/Transmutation)
VI. ญาณทัศนะและเวทมนตร์การเพ่ง (Trataka): ฝึกเพ่งเทียน (หรือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นเอง) เพื่อเปิดจักระที่ 6/7 และเข้าถึง อภิญญา/วิชชา (เช่น การหยั่งรู้/Clairvoyance)เวทมนตร์ที่เกิดจากความว่างเปล่า: ฝึกทำพิธีกรรม (Magick) โดยให้จิตอยู่ในสภาวะ ว่างเปล่าและตระหนักรู้ (Empty and Aware) เพื่อให้เวทมนตร์เกิดจาก ริกปา ไม่ใช่ความต้องการส่วนตน

3. การปลดปล่อยและความสมบูรณ์ (Perfection and Integration)

 

Topic หลักสูตร (หัวข้อ)Outline การฝึก Self-Study (วิถีปฏิบัติ)วิถีชีวิตที่ต้องปฏิบัติ (Daily Practice)
VII. อาตมัน & การหลุดพ้นอัทไวตะ (Advaita): ดำรงอยู่ในความตระหนักรู้ว่า อาตมัน (ตัวตนสูงสุด) คือ พรหมัน (ความจริงสูงสุด) เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งหลักการ Harm None ในฐานะ Karuna: ใช้หลักการ “ไม่ทำร้ายใคร” ของ Wicca เป็นการสำแดงออกของความเมตตา (Karuna) โดยไม่ยึดติดว่าตนเองเป็นผู้กระทำ
VIII. ซกเซ็นในชีวิตประจำวันThögal (การข้าม): ฝึกให้เห็น แสงบริสุทธิ์ ของความตระหนักรู้ที่ปรากฏขึ้นในทุกขณะจิตDzogchen in Action: ทำกิจวัตรประจำวันและทำงานทางโลกด้วยจิตที่ ปราศจากการปรุงแต่ง (Undistracted Rigpa) ทุกการกระทำคือเวทมนตร์และการตระหนักรู้ที่สมบูรณ์
IX. การบูรณาการที่สมบูรณ์การเป็นแม่มดอย่างต่อเนื่อง: เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้ Casting the Circle เป็นสภาวะที่ต่อเนื่องในชีวิต ไม่ใช่แค่การเล่นบทบาทการถ่ายทอดด้วยการดำรงอยู่: เตรียมตัวเป็นผู้ชี้ทาง (Guru/Master) โดยการดำรงอยู่ในสภาวะ ริกปา/โมกสะ อย่างมั่นคงในทุกสถานการณ์

4. ข้อความสร้างความเชื่อมั่นสำหรับผู้ฝึกชาวไทย

เหตุผลที่การฝึกแบบนี้มีความปลอดภัยและมีประโยชน์อย่างลึกซึ้ง (Why This Path is Safe and Empowering)

เราเข้าใจดีว่าในสังคมไทย เรื่อง การเปลือยกาย (Nudity) และ พลังงานทางเพศ (Erotism) เป็นเรื่องที่อาจสร้างความไม่สบายใจและความรู้สึกผิดบาปได้ แต่ใน “วิชชาแม่มดสายตันตระ” นี้ เรามองเรื่องเหล่านี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง:

  1. การยืนยันความเป็นเจ้าของร่างกาย (Reclaiming the Body):
    • ร่างกายคือศักติ: ตามหลักตันตระ ร่างกายสตรีคือการสำแดงออกของ ศักติ (Shakti) ซึ่งเป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์สูงสุด การเปลือยกายในการฝึก (Skyclad) เป็นการประกาศว่า ร่างกายของคุณเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่สิ่งลามก และเป็นอิสระจากกรอบศีลธรรมทางสังคมที่ตัดสินร่างกาย
    • คุณคือผู้กำหนดเอง: เรายึดมั่นในหลัก Consent (ความยินยอม) ที่เข้มงวดที่สุด คุณมีอำนาจในการตัดสินใจ 100% ที่จะเข้าร่วม หรือไม่เข้าร่วม ในการฝึกใดๆ ที่ต้องเปลือยกาย และสามารถเปลี่ยนใจได้ทุกวินาที นี่คือ การคืนอำนาจ (Empowerment) ให้กับคุณอย่างแท้จริง
  2. การเปลี่ยนพลังงานเพศให้เป็นพลังเวทมนตร์ (Transmuting Erotic Energy into Magick):
    • เชื้อเพลิงแห่งการตื่นรู้: แรงขับทางเพศ (Erotic Drive) ไม่ใช่ “กิเลส” ที่ต้องปราบปราม แต่คือ พลังงานกุณฑาลิณี (Kundalini) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานชีวิตที่หลับใหลอยู่ การฝึกนี้จะสอนให้คุณ ใช้พลังงานนี้เป็นเชื้อเพลิง ในการเปิดจักระและเข้าถึง ญาณทัศนะ (Clairvoyance) เพื่อสร้างสรรค์เวทมนตร์ (Magick) ที่บริสุทธิ์และทรงพลังที่สุด
    • การหลุดพ้นจากความยึดติด: เป้าหมายของเราคือ โมกสะ (Moksha) หรือการหลุดพ้น ด้วยการใช้พลังงานเพศอย่างมีสติ คุณจะสามารถมองผ่านภาพลวงตาทางโลก และตระหนักรู้ว่า ตัวตนสูงสุด (Atman) ของคุณเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง นี่คือหนทางที่รวดเร็วและทรงพลังที่สุดสู่การเป็น แม่มดที่ตื่นรู้ (Awakened Witch)

การฝึกของเราคือการปฏิบัติทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง (Deep Spiritual Practice) ที่ใช้ร่างกายและความปรารถนาเป็นประตูสู่ความจริงสูงสุด ไม่ใช่เพื่อกิจกรรมทางโลก เราพร้อมให้คำแนะนำและดูแลคุณในทุกย่างก้าวของการเดินทางที่ศักดิ์สิทธิ์นี้

แม่มดฝึกแบบเปลือยกายเพื่ออะไร

การเปลือยกายในพิธีกรรมของแม่มด (โดยเฉพาะในศาสนาวิคคา) มีชื่อเรียกว่า “Skyclad” ซึ่งแปลว่า “อาภรณ์แห่งท้องฟ้า” และเป็นหนึ่งในแนวทางปฏิบัติที่เก่าแก่และสำคัญของวิคคาบางสาย จุดประสงค์หลักของการทำเช่นนี้คือ:

 

  1. การเชื่อมโยงกับธรรมชาติ: การเปลือยกายช่วยให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอย่างแท้จริง โดยไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นระหว่างร่างกายกับพลังงานของโลกและจักรวาล
  2. ความบริสุทธิ์และการเริ่มต้นใหม่: การสลัดเสื้อผ้าออกเปรียบเสมือนการสลัดสิ่งต่างๆ ที่สังคมสร้างขึ้น (เช่น การแบ่งแยกทางสังคม, สถานะ, ความอคติ) เพื่อเข้าถึงความจริงแท้ภายในตนเอง
  3. การปลดปล่อยพลังงาน: วิคคานเชื่อว่าเสื้อผ้าสามารถปิดกั้นและขัดขวางการไหลเวียนของพลังงานธรรมชาติ การเปลือยกายจึงช่วยให้พลังงานสามารถไหลผ่านร่างกายได้อย่างอิสระและสมบูรณ์
  4. ความเท่าเทียมกัน: เมื่อทุกคนเปลือยกายในพิธีกรรม จะไม่มีความแตกต่างทางฐานะ สังคม หรือสถานะต่างๆ ทุกคนจะเท่าเทียมกันในฐานะลูกหลานของธรรมชาติ
  5. การแสดงออกถึงความจริงแท้: การเปลือยกายเป็นการแสดงออกถึงความจริงที่ว่าร่างกายเป็นส่วนหนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงามของธรรมชาติ และเป็นสัญลักษณ์ของการยอมรับตัวตนที่แท้จริง

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แม่มดทุกคนหรือวิคคาทุกสายที่จะต้องฝึกแบบเปลือยกาย แนวทางนี้เป็นทางเลือกและขึ้นอยู่กับแต่ละกลุ่มหรือบุคคล การเลือกที่จะเปลือยกายหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของความเชื่อและเหตุผลส่วนตัว ซึ่งไม่ได้มีผลต่อประสิทธิภาพของเวทมนตร์หรือความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมแต่อย่างใด

การฝึกแบบตันตระ จะทำให้เราไปเกิดในภพภูมิไหนได้บ้าง ?

การฝึกตันตระสามารถนำไปสู่การเกิดในภพภูมิที่หลากหลายได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจตนาและวิธีการฝึกของผู้ปฏิบัติเป็นหลัก โดยทั่วไปแล้ว การฝึกตันตระมีเป้าหมายสูงสุดคือการบรรลุ นิพพาน หรือการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

ภพภูมิที่อาจเกิดขึ้นจากการฝึกตันตระ

  • พรหมโลก: หากผู้ปฏิบัติมีสมาธิและปัญญาขั้นสูง มีความบริสุทธิ์ในจิตใจ แต่ยังคงมีattachmentในความสุขจากการปฏิบัติอยู่บ้าง ก็อาจจะไปเกิดใน พรหมโลก ซึ่งเป็นภพภูมิที่ละเอียดประณีตและมีความสุขมากกว่ามนุษย์และเทวดา
  • นิพพาน: หากการฝึกปฏิบัติเป็นไปเพื่อการหลุดพ้นอย่างแท้จริง ละทิ้งความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง และเข้าถึงความว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์ ก็จะสามารถบรรลุ นิพพาน ได้ ซึ่งเป็นการสิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิด
  • ภพภูมิมนุษย์หรือภพภูมิอื่น: หากผู้ปฏิบัติยังไม่บรรลุธรรมขั้นสูงสุด และยังมีกิเลสบางอย่างอยู่ เช่น ความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น หรือความต้องการที่จะกลับมาสั่งสมบุญบารมีต่อไป ก็อาจจะกลับมาเกิดใน ภพภูมิมนุษย์ หรือ ภพภูมิอื่น เพื่อสานต่อเจตนาเดิม

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดของการฝึกตันตระไม่ใช่การคาดหวังว่าจะไปเกิดในภพภูมิใด แต่เป็นการใช้ชีวิตในปัจจุบันด้วยความเข้าใจในหลักการแห่ง ความสมดุล ระหว่างโลกิยะ (ทางโลก) และโลกุตระ (ทางธรรม) เพื่อพัฒนาตนเองให้ไปสู่การหลุดพ้นอย่างแท้จริง

จักระและการรู้จักธรรมชาติของตัวเอง

การรู้จักและเข้าใจตนเอง มีข้อดีคือ การรู้ว่าตนเป็นอย่างไรมีจุดเด่นจุดด้อยอะไร และเมื่อกาย หรือใจ ไม่สบาย ก็สามารถรู้ทันและเยียวยาตนเองได้ นอกจากนั้นเมื่อเรารู้จักและ เข้าใจตนเองแล้วย่อมทำให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้และเข้าใจยอมรับผู้อื่นได้เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีในทุกมิติของชีวิต ดังนั้น การทำความรู้จักจักระภายในจึงเป็นหลักการง่าย ๆ ที่ใช้อย่างแพร่หลายในการทำความรู้จักทั้งร่างกาย

จักระ (Chakra) ในภาษาสันสกฤตหมายถึง “วงล้อ” หรือ “การหมุน” เป็นแนวคิดในปรัชญาตะวันออกที่เชื่อว่าเป็นศูนย์กลางพลังงานภายในร่างกายของมนุษย์ จักระเหล่านี้เชื่อมโยงกับอวัยวะ ระบบประสาท และต่อมไร้ท่อ โดยแต่ละจักระจะสอดคล้องกับอวัยวะบางส่วน อารมณ์ และความสามารถเฉพาะตัว การทำความเข้าใจและปรับสมดุลจักระจึงเป็นการเดินทางสู่การรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้งและการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ

มนุษย์ทุกคน มีจักระอยู่ 7 จุด ซึ่งมีสี และความหมาย ดังต่อไปนี้

  1. จักระราก เรียกว่า มูลาธาระจักระ (Root Chakra): ตั้งอยู่ที่ฐานกระดูกสันหลัง มีสีแดง สื่อถึงความมั่นคง รากฐาน และความเชื่อมโยงกับโลกวัตถุ
  2. จักระเพศ เรียกว่า สวาธิษฐานจักระ (Sacral Chakra): อยู่ที่บริเวณท้องน้อย มีสีส้ม เกี่ยวข้องกับความรู้สึกทางเพศ ความสร้างสรรค์ และอารมณ์
  3. จักระท้อง มณีปุระจักระ (Solar Plexus Chakra): อยู่ที่บริเวณท้อง มีสีเหลือง สื่อถึงพลัง อำนาจ ความมั่นใจ และการควบคุมตนเอง
  4. จักระหัวใจ เรียกว่า อานาฮาตะจักระ (Heart Chakra): อยู่ที่กลางอก มีสีเขียว สื่อถึงความรัก ความเมตตา การให้อภัย และการเชื่อมโยงกับผู้อื่น
  5. จักระคอ เรียกว่า วิศุทธิจักระ (Throat Chakra): อยู่ที่ลำคอ มีสีฟ้า สื่อถึงการสื่อสาร การแสดงออก และความจริงใจ
  6. จักระตาที่สาม เรียกว่า อัชญาจักระ (Third Eye Chakra): อยู่ระหว่างคิ้ว มีสีม่วง สื่อถึงปัญญา สัญชาตญาณ และการรับรู้ภายใน
  7. จักระมงกุฎ เรียกว่า สะหัสราจาระ (Crown Chakra): อยู่ที่ยอดศีรษะ มีสีขาวหรือม่วงอ่อน สื่อถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล การตรัสรู้ และจิตวิญญาณ

เมื่อจักระเกิดความไม่สมดุล อาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางร่างกาย อารมณ์ และสภาพจิตใจ เช่น ปวดเมื่อย ป่วยง่าย อารมณ์แปรปรวน กังวล หดหู่ หรือขาดความมั่นใจ การปรับสมดุลจักระจึงเป็นวิธีหนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ การปรับสมดุลจักระจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการใช้ชีวิตโดยรวม อันครอบคลุมถึงสุขภาพ ความสัมพันธ์ ความก้าวหน้าในอาชีพการงาน และความสำเร็จในระยะยาว เมื่อจักระทั้ง 7 ขาดสมดุลไป สามารถฟื้นฟูได้ด้ยการปรับสมดุลของจักระหลาย ๆ จุดไปพร้อมกัน โดยมีวิธีเบื้องต้นที่ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

วิธีการปรับสมดุลจักระ

  • การฝึกสมาธิ ช่วยให้จิตใจสงบและเชื่อมต่อกับพลังงานภายใน
  • การออกกำลังกาย กระตุ้นการไหลเวียนของพลังงาน
  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงร่างกาย และส่งเสริมการทำงานของจักระโดยตรง
  • การใช้คริสตัล เชื่อว่ามีพลังงานที่สอดคล้องกับจักระบางชนิด สามารถเสริมการทำงานจักระได้
  • การทำโยคะ ช่วยเปิดช่องพลังงาน
  • การฟังเสียงบำบัด เช่น เสียงร้องของนก เสียงคลื่น หรือเสียงดนตรี ช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย

 

การเชื่อมต่อกับธรรมชาติ

จักระเป็นสะพานเชื่อมระหว่างร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ การปรับสมดุลจักระจึงเป็นการเชื่อมต่อกับธรรมชาติและจักรวาลอันยิ่งใหญ่ การใช้เวลาอยู่ในธรรมชาติ การสัมผัสแสงแดด ลม และน้ำ ช่วยให้เราได้รับพลังงานจากธรรมชาติและส่งเสริมการรักษาสมดุลของจักระ

จักระเป็นแนวคิดที่น่าสนใจและมีประโยชน์ในการเข้าใจตนเองและพัฒนาตนเอง การศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับจักระไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้เราค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเรา และเชื่อมต่อกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา

การทำความเข้าใจและปรับสมดุลจักระ นอกจากจะช่วยให้เรารู้จักตัวเองได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นแล้ว ยังนำมาซึ่งประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ดังนี้

  1. การพัฒนาตนเอง

การเชื่อมโยงอารมณ์กับจักระ ทำให้เราเข้าใจที่มาของความรู้สึกต่างๆ ได้ดีขึ้น และสามารถจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมเมื่อจักระที่เกี่ยวข้องกับความมั่นใจสมดุล เราจะรู้สึกมั่นคงในตัวเอง และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น

  1. การรักษาสุขภาพ

การทำสมาธิเพื่อปรับสมดุลจักระ ช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล เมื่อจักระสมดุล ร่างกายและจิตใจจะผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น พลังงานที่ไหลเวียนอย่างสมดุล ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ตลอดจนอาจช่วยบรรเทาอาการป่วยบางอย่าง เช่น ปวดหัว ปวดท้อง หรืออาการปวดเรื้อรังบางอย่างได้

  1. การพัฒนาจิตวิญญาณ

การทำสมาธิเพื่อเข้าถึงจักระ ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับจิตใต้สำนึกและค้นพบความจริงภายใน จักระที่เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณ เมื่อสมดุล จะช่วยให้เรามีสัญชาตญาณที่แม่นยำมากขึ้น การเชื่อมต่อกับจักระมงกุฎ ทำให้เราตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

แม้ว่าแนวคิดเรื่องจักระจะมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและปรัชญาตะวันออกมาอย่างยาวนาน แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันการมีอยู่ของจักระอย่างชัดเจน อีกทั้งการศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับจักระ ควรเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเอง ไม่ใช่การหาคำตอบหรือความเชื่อที่ตายตัว หากแต่การรับด้านที่ดีของหลักการนี้มาพัฒนาตนเอง โดยที่ไม่ทำร้ายใคร ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ในทางสุขภาพและจิตใจเป็นอย่างยิ่ง

Human design ศาสตร์ที่มาแรงด้านการรู้จักตนเอง

มนุษย์ทุกคนขับเคลื่อนชีวิตด้วยความกลัว และความกลัวทำให้เราต่างก็ต้องกระเสือกกระสนในการพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อเอาชีวิตรอด! แต่ในแก่นของการพัฒนาจิตวิญญาณ ต่างก็กล่าวว่า “มนุษย์ควรอยู่เหนือจุดที่ใช้ความกลัวมาขับเคลื่อนชีวิต จึงจะเกิดการพัฒนาที่ก้าวกระโดด และได้รับความโชคดี” 

วิทยาศาสตร์ควอนตัม และพลังงาน ก็เช่นกัน

หากใครที่ศึกษากฎแห่งแรงดึงดูด กฎการสั่นสะเทือน หรือกฎแห่งจักรวาลทั้งหลายมาแล้วบ้าง ก็จะพอเข้าใจ และพอจะเดาได้ว่า กฎแห่งจักรวาลเหล่านี้ สามารถนำมาใช้เชื่อมโยงกับแนวคิดมนุษย์นิยม (Naturalism) ได้อย่างประสานสอดคล้องกัน 

ด้วยความที่แนวคิด Naturalism ที่ยึดหลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นแก่นหลัก ดังนั้น หลักฟิสิกส์ควอนตัมจึงเป็นหัวใจสำคัญในการศึกษาเรื่องนี้ ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับควอนตัมก็ได้กล่าวถึง “พลังงาน” และ “คลื่นความถี่” พร้อมกับการเชื่อมโยงอย่างมีเหตุมีผลเข้ากับประสิทธิภาพของสมองและจิตใจของมนุษย์

องค์ประกอบของศาสตร์ที่ว่าด้วยธรรมชาติของมนุษย์

ศาสตร์ที่เรียกว่า Human design ก็มีกลิ่นอายของมนุษย์นิยมเช่นกัน และยังเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยพลังงาน เป็นหลัก มีหลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายถึงเบื้องหลังของการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานโลก จักรวาล และมนุษย์ การใช้ Human design เพื่อพัฒนาตนเองจึงสอดคล้องกับหลักการ Naturalism ไปด้วยในตัว จึงถือได้ว่า  Human design เป็นองค์ประกอบหลักของธรรมชาตินิยมและสัจนิยม

ในบทความนี้เราจะยังไม่ลงลึกมากนัก ถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อน อีกทั้งหลักปรัชญาทางจิตวิญญาณที่ต้องทำความเข้าใจเป็นเวลานานในการตกตะกอนทางความคิด ความเชื่อ ก็จะไม่ได้ถูกกล่าวถึงเช่นกัน แต่เราจะกล่าวแค่เพียงเพื่อให้ทุกคนที่อ่าน ได้รับรู้และทำความรู้จักกับ Human design และประโยชน์ของสิ่งนี้ในเบื้องต้นเท่านั้น

กล่าวคือ จุดประสงค์หลักของบทความนี้ เพียงเพื่อให้ได้ผู้อ่านได้ลิ้มรสความลึกลับน่าค้นหาของศาสตร์ Human design และสร้างความเชื่อมโยงของการนำไปใช้ให้มีประสิทธิภาพนั่นเอง

เมื่อกล่าวถึงศาสตร์ Human design หลายคนอาจรู้จักมาบ้างแล้ว ในทางที่เกี่ยวกับศาสตร์แห่งการทำนาย โหราศาสตร์ และการอ่านไพ่ แต่ ณ ที่นี้ อยากให้หลายคนได้มีการเชื่อมโยงแนวคิดเข้ากับ Naturalism ในแง่ของการฟื้นฟูพลังงาน ศึกษาแก่นพลังงานของตนเอง และนำไปสู่การรู้จักตนเองอย่างทะลุปรุโปร่งในที่สุด

สิ่งที่อยากแนะนำให้รู้จักถึง Human design ในเบื้องต้น มีดังต่อไปนี้…

Human Design เป็นศาสตร์สมัยใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม ทั้งในฟากตะวันตกและรวมถึงประเทศไทย ก็นับว่าเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งเป็นกระแสในโซเชียลมีเดียเช่นกัน 

Human design เป็นศาสตร์ที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง เพื่อพัฒนาทั้งชีวิตทางกายภาพและจิตใจ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการค้นพบ “พิมพ์เขียว” ด้านพลังงานเฉพาะบุคคล ที่มาของศาสตร์นี้ มาจากการผสมผสานองค์ประกอบของโหราศาสตร์ 4 ศาสตร์เข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นให้แต่ละปัจเจกบุคคลได้เข้าถึงลักษณะภายนอก ภายใน จุดแข็ง และข้อจำกัดของตัวเองอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เริ่มแรกอยากกล่าวถึงการแบ่งประเภทมนุษย์แบบคร่าว ๆ ตามพลังงานของแต่ละคนก่อนเลย ซึ่งขอบอกขยายความอีกนิดหน่อยว่า ศาสตร์นี้มีการแบ่งประเภทของมนุษย์ในแบบที่หลากหลายและครอบคลุมกว่านี้มาก ซึ่งที่ยกตัวอย่างมานี้ถือว่าเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น 

ขยายความด้านที่มาที่ไปของศาสตร์นี้ ให้รู้สึกขลังมากขึ้น

Human Design Chart มีชื่ออื่นว่า “BodyGraph” เป็นเครื่องมือที่กล่าวได้ว่าเป็นการรวมกันของโหราศาสตร์ ไอจิง (I Ching) คาบาลา (Kabbalah) และรูปแบบของจักระศีรษะของฮินดู-พราหมณ์ (Hindu-Brahmin chakra model) และฟิสิกส์ควอนตัม เพื่อให้เกิดเป็น Chart ที่ต่างกันออกไปของแต่ละบุคคล กล่าวได้ว่า 1 คนมี 1 Chart เป็นของตนเองโดยแท้จริง ที่นอกจากจุดอ่อนจุดแข็งในด้านตัวตนของบุคคลแล้ว ยังกล่าวถึงความท้าทายในการดำเนินชีวิต แนวโน้มความเป็นไปในแต่ละช่วงอายุ และเส้นทางที่เป็นไปได้ในชีวิตทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายจากไป 

ทุกอย่างของ Himan design และการแบ่งประเภทของมนุษย์ในแบบต่าง ๆ ดำเนินภายใต้พื้นฐานแนวคิดด้านพลังงาน และมีส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์ควอนตัมรองรับ เมื่อเป็นการบรรจบกันของศาสตร์โบราณที่เร้นลับ กับวิทยาการสมัยใหม่ด้านฟิสิกส์ จึงเป็นอะไรที่น่าค้นหา และน่าทดลอง โดยการลองนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเป็นอะไรที่ท้าทายและปรับใช้ง่าย จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

Human design Chart เป็นแผนภูมิมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ขึ้นอยู่กับเวลา วันที่ และสถานที่เกิดที่แน่นอนของคนหนึ่งคน หลักการคำนวณจะคล้ายกับโหราศาสตร์ไทย และเมื่อคำนวณมาได้แล้วจะได้หน้าตาแบบในภาพ

human design02

อธิบายเบื้องต้นได้ว่า แผนภูมิ Human design ของแต่ละคน ประกอบด้วยศูนย์กลางเก้าแห่ง ช่องสัญญาณสามสิบหกช่อง และประตูหกสิบสี่ช่อง ศูนย์เป็นตัวแทนของพลังงานประเภทต่างๆ ภายในบุคคล มีการเปิดและปิด ประตูคือการบอกทิศทางการเคลื่อนไหวของพลังงานภายใน แต่ละฐานของพลังงานมีความสำคัญที่แตกต่างกัน Channels เชื่อมต่อสองศูนย์และเป็นพลังงานชีวิตของ BodyGraph

ตัวอย่างของหลักการแบ่งประเภทตามพลังงานของมนุษย์ 

ศาสตร์ Human Design กล่าวถึง 5 ประเภท ของพลังงานที่ส่งเสริมโดยตรงต่อสไตล์ของแต่ละกระบวนการพัฒนาตนเอง โดยมีความง่ายและตรงจุดประสงค์ของแต่ละบุคคล และสามารถนำไปปรับใช้ได้เลย ดังนี้

  1. Generator: ผู้ผลิตและนักสร้างสรรค์ ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยหัวใจและอารมณ์
  2. Manifestor: นักเคลื่อนไหว ผู้ที่ต้องมั่นใจในเส้นทางที่เลือก พร้อมกับจุดยืนที่ชัดเจน
  3. Manifesting Generator: ผู้เป็นทรัพยากรของโลก เป็นคนที่มีพลังงานที่มีความสามารถในการทำได้หลายอย่าง และชอบทำอะไรด้วยตัวเอง
  4. Projector: ผู้ชี้ทาง  มีพลังงานเพื่อเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่น และช่วยเหลือผู้อื่น
  5. Reflector: ผู้ฟังและรับอิทธิพล เป็นผู้ที่ต้องเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นกระจกสะท้อนให้กับผู้อื่น 

นอกจากนี้ Humandesign ยังมีหลักการอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น  Gates Cannels และ profile ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ด้านการพัฒนาศักยภาพร่างกาย การทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้งจิตวิญญาณและปัญญาญาณของแต่ละบุคคลอีกด้วย การทำความเข้าใจแผนภูมิการออกแบบโดยมนุษย์เกี่ยวข้องกับการเข้าใจไดนามิกของศูนย์กลาง ช่องสัญญาณ และประตูเหล่านี้ พร้อมด้วยองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ประเภท กลยุทธ์ อำนาจหน้าที่ และโปรไฟล์ ส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อให้มีมุมมองแบบองค์รวมของการออกแบบของบุคคล โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปสู่การตัดสินใจด้วยตนเอง

เกริ่นมาเพียงเท่านี้อาจจะยังมีความซับซ้อนอยู่ แต่อยากให้ทุกคนติดตามในบทความถัดไปที่ได้เขียนเจาะลึกและเชื่อมโยงถึงการนำไปใช้ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น จะทำให้รู้สึกสนุกกว่านี้ในการศึกษาตัวเองผ่านศาสตร์แห่งการเข้าใจตนเองอย่าง Human design มากขึ้น