ดิสโทเปีย/ยูโทเปีย : อนาคตโลกกับการเติบโตของใจคน 

 โลกดิสโทเปีย และ โลกยูโทเปีย คือโลกสองด้านบนเหรียญอันเดียวกัน คําว่ายูโทเปียถูกใช้ครั้งแรกในปี 1516 โดยชายชาวอังกฤษชื่อโธมัส มัวร์ อธิบายถึงสังคมอุดมคติที่มีสภาพความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะ ทางกาย ทางใจ ทางเศรษฐกิจ ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอิสระเสรี ไร้การกดขี่ ส่วนคําว่าดิสโทเปียค่อยเกิดขึ้น มาตามหลังโดยมีความหมายทางตรงข้ามคือหมายถึงสังคมที่ถูกกดขี่ สังคมที่ระบบโครงสร้างและเทคโนโลยีมี ปัญหา คนในสังคมดิสโทเปียจำต้องโหดร้ายเย็นชาต่อกัน ไร้อิสระเสรี เต็มไปด้วยข้อจำกัดในการใช้ชีวิต ฯลฯ  

นั่นคือความหมายโดยทั่วไปเมื่อเราพูดถึงคำว่าดิสโทเปีย แต่จริง ๆ แล้วคำว่ายูโทเปียดิสโทเปียมี นิยามต่างออกไปตามแต่ละยุคสมัย เนื่องจากความหมายของมันสะท้อนถึงความกังวลและความฝันของผู้คน และความกังวลและความฝันของคนในแต่ละยุคก็แตกต่างกันออกไป บางยุค เมื่อพูดถึงโลกดิสโทเปีย คนจะนึกถึง โลกที่ถูกปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ (ตามสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แม้ว่า cocept communism จะมีเจตนาสร้างสังคม Utopia ก็ตาม) เพราะในการนำมาประยุกต์ใช้จริง Communism จะมีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบเดินถือปืนควบคุมให้ทุกคนทำงานและอุทิศตัว เพื่อท่านผู้นำสูงสุดที่เป็นมหาวายร้ายแห่งโลก เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่ประชากรโลกหวาดกลัวคอมมิวนิสต์เหนือสิ่งอื่นใด ขณะที่เมื่อพูดถึงโลกยูโทเปีย คนก็จะนึกถึงโลกที่มนุษย์สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระและปลอดภัย เดินใต้ แสงสว่างได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครจับไปล้างสมอง สามารถค้าขายได้อย่างเสรี นับถือศาสนาหรือมีความเชื่อ อะไรก็ได้ ขณะเดียวกัน ในบางยุคดิสโทเปียคือโลกที่ล่มสลายจากเทคโนโลยีและยูโทเปียคือโลกที่ผู้คนใช้ เทคโนโลยีในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เมื่อกล่าวแบบนี้แล้ว ถ้าเราหันกลับมามองในยุคปัจจุบัน โลกเรากำลังเผชิญ กับปัญหาการเพิ่มของจำนวนประชากรลดลงอย่างเห็นได้ชัด ค่านิยมในเรื่องเพศที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราเคยมีคำว่า เกย์ สาวประเภทสอง กระเทย ทอม ดี้ แต่พอมาวันนี้เรามี LGBTQA + และตัวอักษรอีกสารพัดที่ เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ผู้คนมีทัศนคติทางเพศแตกต่างหลากหลายขึ้นทุกวัน สิทธิในการสมรสในเพศเดียวกันกำลังเบ่ง บานในโลกเสรี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าเราและหมุนไปอย่างรวดเร็ว จึงถึงคราวที่เราน่าจะลอง พิจารณานิยามของคำว่าดิสโทเปียและยูโทเปียในปัจจุบันใหม่อีกครั้ง  

เรื่องทางเพศในเฉดสีของยูโทเปียดิสโทเปีย  

เพศเป็นส่วนประกอบสำคัญของการดำรงอยู่ของมนุษย์ ในกรอบของยูโทเปีย เพศอาจถูกมองว่า เป็นการแสดงออกถึงเสรีภาพ เป็นการแสดงออกถึงตัวตน และเป็นสิ่งที่ต้องเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน สังคม ยูโทเปียจะโอบรับความหลากหลาย มีความตระหนักรู้ถึงรสนิยมทางเพศที่แตกต่าง ไม่ก้าวล่วงทางเลือกของคนอื่น ขณะเดียวกัน หากเราอยู่ในโลกดิสโทเปีย เพศจะกลายมาเป็นเครื่องมือกดขี่ สังคมมีกรอบขนบที่แข็งแกร่ง ลงโทษ คนเห็นต่าง ห้ามสํารวจหรือเล่นสนุกกับเพศและกิจกรรมทางเพศมากเกินไป การกดขี่ทางเพศอาจนําไปสู่ปัญหา สังคมและจิตวิทยาได้ในวงกว้าง ยิ่งไปกว่านั้นในบริบทสังคมสมัยใหม่ การนําเอาเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การมีลูกด้วยวิธีทางเลือกที่ไม่ใช่วิธีการธรรมชาติ ความรักยุคดิจิตัลที่เกิดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มที่คนสามารถรู้สึกดี ๆ ต่อกันถึงแม้จะผ่านแค่ตัวอักษรหรือเสียง โดยยังไม่เคยเจอหน้ากันจริง ๆ นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมการแสวงหา ความรักความสัมพันธ์ทางออนไลน์ ความหลากหลายเหล่านี้สามารถถูกมองได้ว่าเป็นความคิดหัวก้าวหน้าอิสระ เสรี หรือไม่ก็เป็นการทําลายคุณค่าความเป็นคนได้เช่นกัน ตกลงว่าเรากําลังเข้าสู่ยูโทเปียที่ความปรารถนาและ จินตนาการสุดพิลึกพิลั่นของเราจะถูกเติมเต็ม หรือ เรากําลังเข้าสู่โลกดิสโทเปียที่สายใยความสัมพันธ์ของมนุษย์ รวมทั้งความหมายของการมีชีวิตกําลังเลือนลางลงทุกทีกันแน่ 

ศาสนา เพศ และโลกในอุดมคติ  

ในหลายศาสนา การมีลูก มีครอบครัวถือเป็นเรื่องดี พระศิวะหรือพระแม่อุมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความ อุดมสมบูรณ์ แม้กระทั่งพระเจ้าในศาสนาอับราฮัม(ยิว คริสต์ อิสลาม)ก็อวยพรคนของพระองค์ว่าจงมีลูกมาก และทวีจํานวนขึ้นกล่าวได้ว่า ในหลาย ๆ ความเชื่อ กิจกรรมทางเพศและการสืบพันธุ์ก็ถูกมองเป็นเรื่องน่ายินดี จนถึงขั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะนําไปสู่การกําเนิดชีวิตใหม่ แต่ขณะเดียวกันทั้งพระเยซูและพระพุทธเจ้าต่างก็ถือ พรหมจรรย์และปฏิเสธความปรารถนาทางเนื้อหนังรวมทั้งความยึดติดทางโลก นักบวชในศาสนาคริสต์คาทอลิก นักบวชในศาสนาพุทธหลาย ๆ นิกาย นักบวชในบางลัทธิ ก็ดํารงตัวอยู่ในเพศพรหมจรรย์ ราวกับจะบอกว่าการตื่น รู้นั้นเกิดขึ้นได้จากการมุ่งไปยังภายในของตัวเองมากกว่าการเติมเต็มและแสวงหาจากภายนอก  

สองมุมมองนี้สะท้อนว่าเรื่องเพศไม่ได้มีค่าเพียงเพื่อการสืบพันธุ์ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการพัฒนาจิต วิญญาณได้ด้วย ขณะเดียวกันการถือพรหมจรรย์และการปฏิเสธความสัมพันธ์ทางเพศ สําหรับบางคนมันช่วยให้ หลุดพ้นจากความเป็นทาสของความปรารถนาและมุ่งเน้นไปยังเป้าหมายทางจิตวิญญาณ เช่น การค้นพบความ สงบภายใน แต่ขณะเดียวกัน การยอมรับเพศสัมพันธ์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมนุษย์ ก็ช่วยเชื่อมโยง มนุษย์กับการสร้างสรรค์และความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้เช่นกัน  

ในโลกดิสโทเปีย ศาสนาอาจสร้างความทุกข์ให้กับผู้คนได้เมื่อเรื่องเพศถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่ ตี ตรา บังคับให้ทุกคนปฏิบัติเหมือนกัน ใช้คำสอนทางศาสนาในการกดขี่คนที่มีวิถีชีวิตและรสนิยมทางเพศที่แตก ต่าง ขณะที่มุมมองยูโทเปีย ศาสนาและความเชื่อสามารถเป็นเครื่องมือในการประสานเรื่องเพศและจิตวิญญาณ ให้เป็น 1 ได้ ทุกวันนี้เราเห็นความเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQA+ เรียกร้องความเท่าเทียมและการปลดปล่อยทางเพศ มีการยอมรับและให้พื้นที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น จากเดิมที่โบสถ์คริสต์มีแนวคิดต่อต้านผู้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันก็เริ่มมีโบสถ์ที่ให้การยอมรับและจัดการแต่งงานให้คู่รักเพศเดียวกันได้มากขึ้น เราเห็นผู้มีความหลากหลายทางเพศในศาสนสถานกันมากขึ้นและเป็นเรื่องปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ศาสนาเองก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเช่นกัน กรอบศีลธรรมและจิตวิญญาณค่อย ๆ ยอมรับรูปแบบความรักและความ สัมพันธ์ที่หลากหลายมากขึ้นทุกวัน แต่ขณะเดียวกันก็มีคนที่วิจารณ์ว่าศาสนาไม่ควรยอมรับเรื่องแบบนี้เลย เพราะ ความผิดเพศคือการผิดธรรมชาติ และการมีวิถีชีวิตผิดธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่ลดทอนความเป็นมนุษย์  

การลดลงของจำนวนประชากรโลกเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ 

พวกเรากำลังยืนเป็นพยานอยู่ในสถานการณ์ที่การเพิ่มของจำนวนประชากรโลกลดลงเรื่อย ๆ หลาย ศตวรรษที่พวกเราอยู่กันมาโดยให้นิยามว่าตัวเลขเพิ่มขึ้นคือการเติบโตและตัวเลขลดลงคือการถดถอย ไม่ว่าจะ เพราะอัตราการแต่งงานต่ำลง การแต่งงานในเพศเดียวกันเพิ่มมากขึ้น (อันที่จริง ผลการวิจัยทางสถิติแสดงให้เห็น ว่าการที่มีคู่รักเพศเดียวกันเพิ่มไม่ใช่เหตุผลหลักของการลดลงของจำนวนประชากร*) อัตราการเกิดก็ต่ำลงเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะมาจากเพราะรูปแบบกิจกรรมทางเพศในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากอดีตมาก หรือเพราะการที่ผู้คนมีวิถีชีวิต เปลี่ยนไปจากอดีต แต่งงานช้า มีลูกช้าลง หรืออาจจะเป็นเพราะผู้คนมีความกังวลกับสังคมและเศรษฐกิจก็เลยไม่ กล้าสร้างครอบครัวก็เป็นได้  

ดิสโทเปีย: โลกที่ประชากรลดลงอาจนำไปสู่การชะงักงันทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนแรงงาน และการเลือนหาย ทางวัฒนธรรม บางเมืองอาจกลายเป็นเมืองร้างดังที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นหรือบางแห่งในยุโรปที่มีแต่ผู้สูงวัย และจำนวนประชากรในเมืองก็ลดลงเรื่อย ๆ ความเหงาและความโดดเดี่ยวอาจกลายเป็นเรื่องปกติที่คนในสังคม ต้องเผชิญ เรากำลังเดินไปสู่การล่มสลายของยุคสมัย  

ยูโทเปีย: ในทางกลับกัน โลกที่มีคนน้อยลงอาจช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อม ให้ธรรมชาติมีโอกาสฟื้นฟู สังคม อาจมุ่งเน้นคุณภาพชีวิต ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง และการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลมากขึ้น สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปตรง หน้าอาจกำลังพาเราเดินไปสู่โลกในอุดมคติก็เป็นได้  

บางทีโลกดิสโทเปียหรือยูโทเปียอาจไม่เกี่ยวอะไรกับการเจริญเติบโตทางโลกที่ต้องมีตัวเลขให้จับต้อง ได้ หากแต่เป็นการเติบโตทางปัญญา ความเมตตา จิตวิญญาณ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโลกใบนี้ ส่วนจะครองตัวเป็นพรหมจรรย์ หรือมีกิจกรรมทางเพศ เป็นโสดหรือมีคู่ คบเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน มันไม่ได้ มีอะไรดีกว่าอะไร การงดเว้นจากความปรารถนาทำให้คุณได้ฝึกฝนสภาวะเหนือความเป็นทาสต่อเนื้อหนังตัวเอง แต่การมีกิจกรรมทางเพศก็เป็นการทำตามธรรมชาติที่จะสืบพันธุ์เช่นกัน ไม่ว่าแบบไหนก็ล้วนเป็นการแสดงออก ของความเป็นมนุษย์ในตัวเรา  

สุดท้ายแล้วเมื่อย้อนกลับไปที่รากศัพท์ของคำว่ายูโทเปีย มันมาจากคำว่า no land หรือ “สถานที่ที่ไม่มี อยู่จริง” หมายความว่า จริง ๆ แล้วมนุษย์แค่มองหาสถานที่หรือสภาพสังคมที่ถูกใจตัวเองและอยากให้มันจับต้อง ได้แบบนั้น แต่เพราะเป็นเช่นนั้นนั่นแหละ มันจึงกลายเป็นยูโทเปียหรือโลกที่ไม่มีอยู่จริง พอพิจารณาตามนี้แล้ว บางทียูโทเปียอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ตายตัว หากแต่เป็นกระบวนการพยายามอย่างต่อเนื่องที่เราจะปรับ ความปรารถนาของเราให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต และไม่มีอะไรถูกหรือผิดในการเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบไหน มีรสนิยม อย่างไร มีวิถีชีวิตเหมือนอย่างคนส่วนน้อยหรือส่วนมาก เพราะสุดท้ายแล้วการเดินทางสู่โลกที่ดีขึ้นคือการก้าวข้าม ความคิดสองขั้วไปสู่การค้นพบนิยามความหมายของการเป็นมนุษย์ของเรานั่นเอง  

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *