คำถามที่ว่า “มนุษย์คู่ควรกับโลกใบนี้หรือไม่” เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะอยู่ในวงการปรัชญาและจิต วิญญาณมาอย่างยาวนาน เราสมควรได้รับสิทธิ์ในการดำรงอยู่บนโลกใบนี้จริงหรือ? การมีอยู่ของเราเป็น ประโยชน์หรือเป็นโทษกับสรรพสิ่งรอบตัวเรามากกว่ากัน ในเวลาที่ชีวิตของเรายากลำบากเหลือแสน เราควร พยายามใช้ชีวิตต่อไปถึงแม้จะทุกข์ทน หรือเราควรจะยอมแพ้และทิ้งตัวให้กับความสิ้นหวังไปเลย? เพื่อที่จะตอบ คำถามเหล่านี้ เราจำเป็นต้องสำรวจมิติอันลึกซึ้งในหลาย ๆ แง่มุมทั้งด้านจิตวิญญาณและแนวคิดเชิงอัตถิภาวนิยม (existentialism) เพื่อค้นหาความจริงที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายและคุณค่าของการมีอยู่ของตนเอง
คำตอบจากความเชื่อดั้งเดิม
ความเชื่อทางจิตวิญญาณหลายแขนงมองว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง เช่น ใน ศาสนาคริสต์มีความเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างมาอย่างมีความหมายและถูกสร้างขึ้น “ตามพระฉายา ของพระผู้เป็นเจ้า” (ปฐมกาล 1.27) นั่นแปลว่าในมุมของคนคริสเตียน มนุษย์คือภาพสะท้อนของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ มนุษย์ถูกสร้างขึ้นด้วยความรักและถูกสร้างขึ้นอย่างมีเป้าหมาย ผู้ที่เชื่อและเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ก็จะไม่หวั่นใจกับ คำถามที่ว่าตัวเองเกิดมาทำไม เพราะพระเจ้ามีจุดประสงค์ในการสร้างคุณขึ้นมาอย่างแน่นอน ในศาสนาอิสลาม คัมภีร์กุรอานก็เน้นย้ำเรื่องจุดประสงค์ของการมีอยู่ของมนุษย์ นั่นคือมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับหน้าที่บางอย่าง นั่นคือเพื่อเป็นผู้ดูแลรักษาโลก (คาลิฟะห์) ในศาสนาฮินดูก็มีการพูดถึงอัตมันหมายถึงสภาวะอันเป็นนิรันดร์และ เป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้าโดยจะต้องฝึกฝนผ่านการประพฤติธรรม แต่ก็มีบางศาสนาที่ให้ค่าการมีอยู่ของชีวิตแตก ต่างออกไป เช่น ศาสนาพุทธจะเน้นย้ำถึงข้อจำกัดของมนุษย์ ว่าชีวิตคือความทุกข์ แม้บางขณะที่เรารู้สึกเหมือนมี ความสุขแต่ไม่นานเมื่อความสุขนั้นลดลงเราก็กลับไปเป็นทุกข์อยู่ดี เป็นเช่นนี้วนเวียนเรื่อยไปในแต่ละวินาที แต่ละ นาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี วนไปจนเป็นภพชาติ ศาสนาพุทธมองว่ามนุษย์ถูกพันธนาการด้วยอวิชชา (ความไม่รู้) และอุปทาน (การยึดติด) ศาสนาพุทธจึงไม่ได้ให้ความสนใจที่จะตอบว่าชีวิตคุณมีค่าหรือไม่มีค่า โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งหากจะนำไปวัดค่าด้วยไม้บรรทัดทางโลกแล้ว ศาสนาพุทธยิ่งไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นสักเท่าไร แต่จะสนใจว่าเราจะ สามารถออกจากความปรารถนาและการยึดติดเพื่อไปสู่การตื่นรู้ได้หรือไม่มากกว่า
ไม่ว่าความเชื่อแขนงต่าง ๆ จะให้คำตอบเรื่องนี้อย่างไร แต่ความเชื่อเหล่านี้ก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงผลผลิตโดยบังเอิญของธรรมชาติ แต่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในเรื่องราวของชีวิตของตัวเอง มนุษยชาติดำรงอยู่เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง นอกจากนี้การที่เรามีชีวิตอยู่ตรงนี้ ยังเป็นโอกาสในการพัฒนาคุณธรรม เช่น ความเมตตา ความอดทน ปัญญา ความรัก ให้กับเพื่อนมนุษย์และสรรพ สิ่งรอบตัวอีกด้วย
การดิ้นรนเพื่ออยู่รอด
มนุษย์เกิดมาก็เจอกับความลำบากกันทุกคนไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะลำบากกายเพราะต้องตรากตรำ ทํางานหรือลําบากใจเพราะต้องเจอกับความทุกข์โศกเสียใจ การพยายามเอาชีวิตรอดจากความทุกข์ทั้งหลายนั้น เป็นทั้งภาระอันหนักอึ้งและเป็นคำพยานของเราที่บอกเล่ากับโลกใบนี้ว่าตัวเรานั้นได้ผ่านอะไรมา บางคนอาจให้ ค่าความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากว่ามันทําให้ชีวิตมีค่าเหมือนกระท้อนที่ยิ่งถูกทุบก็ยิ่งหวาน ยิ่งผ่านอะไรมามากก็ ยิ่งมีความหมาย แต่กับบางคนไม่ได้อยากให้ชีวิตมีค่าอะไร แต่แค่อยากมีชีวิตรอดไปในแต่ละวันโดยไม่ต้องเผชิญ กับความทุกข์ใจเกินไปนักก็เท่านั้นเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นคนกลุ่มไหนก็ตาม คุณก็ไม่ได้เลือกได้ ขนาดนั้น เศรษฐกิจกำลังถดถอย ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าวัตถุทางโลกและความสัมพันธ์ที่ตื้นเขิน ต่างคนต่างเย็นชาใส่ กันและกัน ไม่อยากสนใจคนทุกคน แต่ก็อยากถูกสนใจโดยคนทุกคน
ถ้าทุกอย่างมันยากแบบนั้นแล้วทำไมเรายังอยู่ตรงนี้? หรือเราแค่อยู่ไปวัน ๆ เพราะเรายังไม่ตายอย่างนั้น หรือ? อันที่จริงคำถามนี้ ศาสนามีคำตอบให้คุณไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า อยู่เพื่อ ปกป้องดูแลโลก อยู่เพื่อรัก อยู่เพื่อทําลาย อยู่เพื่อออกจากการเวียนว่ายตายเกิด ฯลฯ คุณเลือกคําตอบที่คุณชอบ ได้เลยเพราะสิ่งเหล่านี้ถูกตอบมาอย่างแข็งแรงแล้วตามหลักเชื่อในแต่ละศาสนา แต่ถ้าคุณไม่พอใจคําตอบเหล่านี้ คุณก็ต้องหาคําตอบของคําถามนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งเราต่างรู้กันว่าการหาความหมายของชีวิตมันเป็นโจทย์ชั่วชีวิต ของคนทุกคน
ความหมายของชีวิต ท่าตอบจากนักปรัชญา
นักปรัชญาสายอัตถิภวนิยมได้นําเสนอแนวคิดอีกแบบที่ไม่ต้องหยิบศาสนามาตอบ ปรัชญาสายนี้เกิดขึ้น ในปลายศตวรรษที่ 19 และเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนในศตวรรษที่ 20 โดยมีที่มาจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ในยุโรป เดิมทีโลกตะวันตกผูกคุณค่าของชีวิตกับคริสตศาสนาดังที่พูดถึงไปในข้างต้น แต่เพราะการมาของวิทยาศาสตร์ สงคราม และวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานโดย หาเหตุผลที่มาของความทุกข์ทั้งหมดนี้ไม่ได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถเอาวิทยาศาสตร์ไปพิสูจน์การมีอยู่ของ พระเจ้าเชิงประจักษ์ได้ จึงทําให้มนต์ขลังของศาสนาในยุคนั้นค่อย ๆ เสื่อมลง เมื่อพวกเขาสูญเสียความเชื่อไป จึง นํามาซึ่งคําถามว่า “มนุษยชาติเกิดขึ้นมาได้ยังไง สรรพสิ่งเกิดขึ้นมาได้ยังไง แล้วฉันจะอยู่ต่อไปทําไม”
เฟรเดอริก นิทเช่ (ศตวรรษที่19) มีคําพูดอันโด่งดังว่า “พระเจ้าตายแล้ว” ในหนังสือชื่อดังของเขา ‘สาราธุส ตราตรัสไว้ดังนี้’ นิทเช่ไม่ได้จะสื่อว่าพระเจ้าเคยเกิดมา มีอยู่ และตายจากไปแล้วตรงตามตัวอักษร แต่เขากําลัง หมายถึงการที่ความเชื่อที่ว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้านั้นกําลังจางหายไปในสังคมที่วิทยาศาสตร์เบ่งบาน และถ้าหากพระเจ้าไม่มีจริง คุณก็ต้องหาคําตอบนั้นให้กับชีวิตตัวเองว่าคุณอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร แต่เราจะทําอย่าง นั้นได้อย่างไร ในเมื่อธรรมชาติมนุษย์นั้นช่างอ่อนแอและเปราะบาง แค่เพื่อนบ้านมาขอความเชื่อเหลือบางอย่าง จากเรา เราไม่อยากให้ แต่เรายังไม่กล้าปฏิเสธเลย มนุษย์เราอยากเป็นอิสระจากความคาดหวัง จากสายตาของ คนอื่น แต่ก็ธรรมชาติของเราอีกนั่นแหละที่ต้องการการยอมรับและความสนใจจากคนรอบข้าง ทุกอย่างล้วนย้อน แย้งอย่างสิ้นเชิง เมื่อถูกพันธนาการและกดขี่ ถูกบังคับให้เชื่อ มีคนมาตอบให้ว่าคุณเกิดมาเพื่ออะไร มนุษย์จะ ดิ้นรนอยากเป็นอิสระและอยากตอบคําถามนั้นด้วยตนเอง แต่เมื่อเป็นอิสระจริง ๆ กลับไม่รู้จะเดินไปทางไหน ชีวิต ที่เต็มไปด้วยเสรีภาพเอาเข้าจริงกลับเป็นเรื่องน่าหวั่นใจเสียด้วยซ้ํา แล้วคุณมีคําตอบแบบไหนให้กับตัวเอง?
เหตุผลที่เรายังอยู่ตรงนี้
ในโลกที่เศรษฐกิจกําลังมีปัญหา ผู้คนในสังคมต้องพยายามเลือดตาแทบกระเด็นที่จะมีชีวิตให้ผ่านไป แต่ละวัน จนบางคนเริ่มตั้งคําถามว่า “ถ้ามันยากขนาดนี้ ทําไมเราถึงยังควรไปต่อ” มีหลายคนที่ยอมแพ้กับความ หนักหนาของชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจถูกแสดงออกมาในรูปแบบของการเฉยเมย ไม่สนใจโลก แยกตัว ออกจากสังคม หรือแม้กระทั่งตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง อันที่จริงแล้วมนุษย์ก็อาจไม่ได้มีค่าหรือสลักสําคัญอะไรกว่า สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จริง ๆ นั่นแหละ และก็จะมีบางคนพูดด้วยซ้ําว่า จะว่าไปโลกใบนี้อาจจะดีขึ้นก็ได้ ถ้ามนุษย์สูญพันธุ์ ไปเสียให้หมด แต่ต่อให้มนุษย์นั้นอ่อนแอ ทุกข์ เศร้า เบียดเบียนคนอื่นและตัวเองอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่ามัน จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้อบกพร่องของมนุษย์และความยากลําบากในการใช้ชีวิตไม่ได้ลบล้างศักยภาพในการ ทําความดีของเรา ถ้าเรารู้สึกว่าโลกนี้คงจะดีกว่าโดยไม่มีเรา ทําไมเราไม่พลิกความคิดเป็นว่า ถ้าอย่างนั้นเราน่าจะ ตั้งใจใช้ชีวิตและทําให้มันมีความหมายเพื่อที่จะได้ใช้โอกาสที่เราได้อยู่ตรงนี้ ในขณะนี้ สร้างคุณค่าและความ หมายในแบบของตัวเองแทนล่ะ
นักวิทยาศาสตร์พยายามวิจัยและคาดการณ์ว่าโลกจะถึงจุดจบอย่างไร บ้างก็ว่าจะมีดาวเคราะห์น้อย ขนาดยักษ์พุ่งชนจนชะตากรรมของมนุษย์จะจบลงไม่ต่างกับไดโนเสาร์ในอดีต บ้างก็ว่าจะมีการปะทุของภูเขาไฟ ขนาดใหญ่ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงจนนําไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ได้ บ้างก็ว่าสรรพสิ่งบนโลกเราจะสูญพันธุ์จากการที่ดวงอาทิตย์ขยายตัวจนกลายเป็นดาวยักษ์แดง หรือบางที มนุษย์อาจสูญพันธุ์ง่าย ๆ ด้วยไวรัส โรคระบาด สงคราม หรือแม้แต่พวกเราอาจวิวัฒนาการกลายเป็นมนุษย์สาย พันธุ์ใหม่ที่ปรับตัวกับแวดล้อมได้ หรือไม่ก็ย้ายออกจากโลกไปตั้งรกรากที่อื่นไปเลย ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นใน อนาคตอันไกลโพ้น และคำถามว่า ‘มนุษยชาติมีค่าให้ไปต่อบนโลกหรือไม่’ ก็อาจไม่ได้มีใครให้คำตอบที่ถูกใจได้ นอกจากตัวเราจะใช้ชีวิตและหาความหมายให้มันด้วยตัวเอง ผ่านความยากลําบาก ผ่านความผิดพลาด ผ่าน ชัยชนะ ผ่านความสุขและความทุกข์ ไม่ว่าคุณจะใช้ศรัทธาหรือเหตุผลในการนําทาง ไม่ว่าคุณจะตั้งกติกาว่า คุณค่าของตัวเองจะมีอยู่บนเงื่อนไขหรือมาตรฐานใด แต่แค่การที่คุณยังอยู่ตรงนี้ ในเวลานี้ ก็แปลว่าคุณยังมี โอกาสและยังมีความเป็นไปได้ คุณสามารถที่จะใช้ชีวิตเพื่อตามหาความหมายและสร้างคุณค่าให้กับชีวิตตัวเอง แบบไหนก็ได้ และบางทีเราแต่ละคนอาจจะแค่เกิดมาเพื่อทําแค่นั้นก็เป็นได้