มนุษย์มีคุณค่าอะไรในโลกใบนี้ ?  

คำถามที่ว่า มนุษย์คู่ควรกับโลกใบนี้หรือไม่เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะอยู่ในวงการปรัชญาและจิต วิญญาณมาอย่างยาวนาน เราสมควรได้รับสิทธิ์ในการดำรงอยู่บนโลกใบนี้จริงหรือ? การมีอยู่ของเราเป็น ประโยชน์หรือเป็นโทษกับสรรพสิ่งรอบตัวเรามากกว่ากัน ในเวลาที่ชีวิตของเรายากลำบากเหลือแสน เราควร พยายามใช้ชีวิตต่อไปถึงแม้จะทุกข์ทน หรือเราควรจะยอมแพ้และทิ้งตัวให้กับความสิ้นหวังไปเลย? เพื่อที่จะตอบ คำถามเหล่านี้ เราจำเป็นต้องสำรวจมิติอันลึกซึ้งในหลาย ๆ แง่มุมทั้งด้านจิตวิญญาณและแนวคิดเชิงอัตถิภาวนิยม (existentialism) เพื่อค้นหาความจริงที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายและคุณค่าของการมีอยู่ของตนเอง  

คำตอบจากความเชื่อดั้งเดิม  

ความเชื่อทางจิตวิญญาณหลายแขนงมองว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง เช่น ใน ศาสนาคริสต์มีความเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างมาอย่างมีความหมายและถูกสร้างขึ้น ตามพระฉายา ของพระผู้เป็นเจ้า(ปฐมกาล 1.27) นั่นแปลว่าในมุมของคนคริสเตียน มนุษย์คือภาพสะท้อนของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ มนุษย์ถูกสร้างขึ้นด้วยความรักและถูกสร้างขึ้นอย่างมีเป้าหมาย ผู้ที่เชื่อและเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ก็จะไม่หวั่นใจกับ คำถามที่ว่าตัวเองเกิดมาทำไม เพราะพระเจ้ามีจุดประสงค์ในการสร้างคุณขึ้นมาอย่างแน่นอน ในศาสนาอิสลาม คัมภีร์กุรอานก็เน้นย้ำเรื่องจุดประสงค์ของการมีอยู่ของมนุษย์ นั่นคือมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับหน้าที่บางอย่าง นั่นคือเพื่อเป็นผู้ดูแลรักษาโลก (คาลิฟะห์) ในศาสนาฮินดูก็มีการพูดถึงอัตมันหมายถึงสภาวะอันเป็นนิรันดร์และ เป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้าโดยจะต้องฝึกฝนผ่านการประพฤติธรรม แต่ก็มีบางศาสนาที่ให้ค่าการมีอยู่ของชีวิตแตก ต่างออกไป เช่น ศาสนาพุทธจะเน้นย้ำถึงข้อจำกัดของมนุษย์ ว่าชีวิตคือความทุกข์ แม้บางขณะที่เรารู้สึกเหมือนมี ความสุขแต่ไม่นานเมื่อความสุขนั้นลดลงเราก็กลับไปเป็นทุกข์อยู่ดี เป็นเช่นนี้วนเวียนเรื่อยไปในแต่ละวินาที แต่ละ นาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี วนไปจนเป็นภพชาติ ศาสนาพุทธมองว่ามนุษย์ถูกพันธนาการด้วยอวิชชา (ความไม่รู้) และอุปทาน (การยึดติด) ศาสนาพุทธจึงไม่ได้ให้ความสนใจที่จะตอบว่าชีวิตคุณมีค่าหรือไม่มีค่า โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งหากจะนำไปวัดค่าด้วยไม้บรรทัดทางโลกแล้ว ศาสนาพุทธยิ่งไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นสักเท่าไร แต่จะสนใจว่าเราจะ สามารถออกจากความปรารถนาและการยึดติดเพื่อไปสู่การตื่นรู้ได้หรือไม่มากกว่า  

ไม่ว่าความเชื่อแขนงต่าง ๆ จะให้คำตอบเรื่องนี้อย่างไร แต่ความเชื่อเหล่านี้ก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงผลผลิตโดยบังเอิญของธรรมชาติ แต่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในเรื่องราวของชีวิตของตัวเอง มนุษยชาติดำรงอยู่เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง นอกจากนี้การที่เรามีชีวิตอยู่ตรงนี้ ยังเป็นโอกาสในการพัฒนาคุณธรรม เช่น ความเมตตา ความอดทน ปัญญา ความรัก ให้กับเพื่อนมนุษย์และสรรพ สิ่งรอบตัวอีกด้วย  

การดิ้นรนเพื่ออยู่รอด  

มนุษย์เกิดมาก็เจอกับความลำบากกันทุกคนไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะลำบากกายเพราะต้องตรากตรำ ทํางานหรือลําบากใจเพราะต้องเจอกับความทุกข์โศกเสียใจ การพยายามเอาชีวิตรอดจากความทุกข์ทั้งหลายนั้น เป็นทั้งภาระอันหนักอึ้งและเป็นคำพยานของเราที่บอกเล่ากับโลกใบนี้ว่าตัวเรานั้นได้ผ่านอะไรมา บางคนอาจให้ ค่าความเหน็ดเหนื่อยยากลำบากว่ามันทําให้ชีวิตมีค่าเหมือนกระท้อนที่ยิ่งถูกทุบก็ยิ่งหวาน ยิ่งผ่านอะไรมามากก็ ยิ่งมีความหมาย แต่กับบางคนไม่ได้อยากให้ชีวิตมีค่าอะไร แต่แค่อยากมีชีวิตรอดไปในแต่ละวันโดยไม่ต้องเผชิญ กับความทุกข์ใจเกินไปนักก็เท่านั้นเอง แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นคนกลุ่มไหนก็ตาม คุณก็ไม่ได้เลือกได้ ขนาดนั้น เศรษฐกิจกำลังถดถอย ผู้คนไล่ตามไขว่คว้าวัตถุทางโลกและความสัมพันธ์ที่ตื้นเขิน ต่างคนต่างเย็นชาใส่ กันและกัน ไม่อยากสนใจคนทุกคน แต่ก็อยากถูกสนใจโดยคนทุกคน  

ถ้าทุกอย่างมันยากแบบนั้นแล้วทำไมเรายังอยู่ตรงนี้? หรือเราแค่อยู่ไปวัน ๆ เพราะเรายังไม่ตายอย่างนั้น หรือ? อันที่จริงคำถามนี้ ศาสนามีคำตอบให้คุณไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า อยู่เพื่อ ปกป้องดูแลโลก อยู่เพื่อรัก อยู่เพื่อทําลาย อยู่เพื่อออกจากการเวียนว่ายตายเกิด ฯลฯ คุณเลือกคําตอบที่คุณชอบ ได้เลยเพราะสิ่งเหล่านี้ถูกตอบมาอย่างแข็งแรงแล้วตามหลักเชื่อในแต่ละศาสนา แต่ถ้าคุณไม่พอใจคําตอบเหล่านี้ คุณก็ต้องหาคําตอบของคําถามนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งเราต่างรู้กันว่าการหาความหมายของชีวิตมันเป็นโจทย์ชั่วชีวิต ของคนทุกคน  

ความหมายของชีวิต ท่าตอบจากนักปรัชญา  

นักปรัชญาสายอัตถิภวนิยมได้นําเสนอแนวคิดอีกแบบที่ไม่ต้องหยิบศาสนามาตอบ ปรัชญาสายนี้เกิดขึ้น ในปลายศตวรรษที่ 19 และเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนในศตวรรษที่ 20 โดยมีที่มาจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ในยุโรป เดิมทีโลกตะวันตกผูกคุณค่าของชีวิตกับคริสตศาสนาดังที่พูดถึงไปในข้างต้น แต่เพราะการมาของวิทยาศาสตร์ สงคราม และวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานโดย หาเหตุผลที่มาของความทุกข์ทั้งหมดนี้ไม่ได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถเอาวิทยาศาสตร์ไปพิสูจน์การมีอยู่ของ พระเจ้าเชิงประจักษ์ได้ จึงทําให้มนต์ขลังของศาสนาในยุคนั้นค่อย ๆ เสื่อมลง เมื่อพวกเขาสูญเสียความเชื่อไป จึง นํามาซึ่งคําถามว่า มนุษยชาติเกิดขึ้นมาได้ยังไง สรรพสิ่งเกิดขึ้นมาได้ยังไง แล้วฉันจะอยู่ต่อไปทําไม”  

เฟรเดอริก นิทเช่ (ศตวรรษที่19) มีคําพูดอันโด่งดังว่า “พระเจ้าตายแล้ว” ในหนังสือชื่อดังของเขาสาราธุส ตราตรัสไว้ดังนี้นิทเช่ไม่ได้จะสื่อว่าพระเจ้าเคยเกิดมา มีอยู่ และตายจากไปแล้วตรงตามตัวอักษร แต่เขากําลัง หมายถึงการที่ความเชื่อที่ว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้านั้นกําลังจางหายไปในสังคมที่วิทยาศาสตร์เบ่งบาน และถ้าหากพระเจ้าไม่มีจริง คุณก็ต้องหาคําตอบนั้นให้กับชีวิตตัวเองว่าคุณอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร แต่เราจะทําอย่าง นั้นได้อย่างไร ในเมื่อธรรมชาติมนุษย์นั้นช่างอ่อนแอและเปราะบาง แค่เพื่อนบ้านมาขอความเชื่อเหลือบางอย่าง จากเรา เราไม่อยากให้ แต่เรายังไม่กล้าปฏิเสธเลย มนุษย์เราอยากเป็นอิสระจากความคาดหวัง จากสายตาของ คนอื่น แต่ก็ธรรมชาติของเราอีกนั่นแหละที่ต้องการการยอมรับและความสนใจจากคนรอบข้าง ทุกอย่างล้วนย้อน แย้งอย่างสิ้นเชิง เมื่อถูกพันธนาการและกดขี่ ถูกบังคับให้เชื่อ มีคนมาตอบให้ว่าคุณเกิดมาเพื่ออะไร มนุษย์จะ ดิ้นรนอยากเป็นอิสระและอยากตอบคําถามนั้นด้วยตนเอง แต่เมื่อเป็นอิสระจริง ๆ กลับไม่รู้จะเดินไปทางไหน ชีวิต ที่เต็มไปด้วยเสรีภาพเอาเข้าจริงกลับเป็นเรื่องน่าหวั่นใจเสียด้วยซ้ํา แล้วคุณมีคําตอบแบบไหนให้กับตัวเอง 

เหตุผลที่เรายังอยู่ตรงนี้  

ในโลกที่เศรษฐกิจกําลังมีปัญหา ผู้คนในสังคมต้องพยายามเลือดตาแทบกระเด็นที่จะมีชีวิตให้ผ่านไป แต่ละวัน จนบางคนเริ่มตั้งคําถามว่า ถ้ามันยากขนาดนี้ ทําไมเราถึงยังควรไปต่อมีหลายคนที่ยอมแพ้กับความ หนักหนาของชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจถูกแสดงออกมาในรูปแบบของการเฉยเมย ไม่สนใจโลก แยกตัว ออกจากสังคม หรือแม้กระทั่งตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง อันที่จริงแล้วมนุษย์ก็อาจไม่ได้มีค่าหรือสลักสําคัญอะไรกว่า สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จริง ๆ นั่นแหละ และก็จะมีบางคนพูดด้วยซ้ําว่า จะว่าไปโลกใบนี้อาจจะดีขึ้นก็ได้ ถ้ามนุษย์สูญพันธุ์ ไปเสียให้หมด แต่ต่อให้มนุษย์นั้นอ่อนแอ ทุกข์ เศร้า เบียดเบียนคนอื่นและตัวเองอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่ามัน จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้อบกพร่องของมนุษย์และความยากลําบากในการใช้ชีวิตไม่ได้ลบล้างศักยภาพในการ ทําความดีของเรา ถ้าเรารู้สึกว่าโลกนี้คงจะดีกว่าโดยไม่มีเรา ทําไมเราไม่พลิกความคิดเป็นว่า ถ้าอย่างนั้นเราน่าจะ ตั้งใจใช้ชีวิตและทําให้มันมีความหมายเพื่อที่จะได้ใช้โอกาสที่เราได้อยู่ตรงนี้ ในขณะนี้ สร้างคุณค่าและความ หมายในแบบของตัวเองแทนล่ะ  

นักวิทยาศาสตร์พยายามวิจัยและคาดการณ์ว่าโลกจะถึงจุดจบอย่างไร บ้างก็ว่าจะมีดาวเคราะห์น้อย ขนาดยักษ์พุ่งชนจนชะตากรรมของมนุษย์จะจบลงไม่ต่างกับไดโนเสาร์ในอดีต บ้างก็ว่าจะมีการปะทุของภูเขาไฟ ขนาดใหญ่ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงจนนําไปสู่การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ได้ บ้างก็ว่าสรรพสิ่งบนโลกเราจะสูญพันธุ์จากการที่ดวงอาทิตย์ขยายตัวจนกลายเป็นดาวยักษ์แดง หรือบางที มนุษย์อาจสูญพันธุ์ง่าย ๆ ด้วยไวรัส โรคระบาด สงคราม หรือแม้แต่พวกเราอาจวิวัฒนาการกลายเป็นมนุษย์สาย พันธุ์ใหม่ที่ปรับตัวกับแวดล้อมได้ หรือไม่ก็ย้ายออกจากโลกไปตั้งรกรากที่อื่นไปเลย ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นใน อนาคตอันไกลโพ้น และคำถามว่า ‘มนุษยชาติมีค่าให้ไปต่อบนโลกหรือไม่’ ก็อาจไม่ได้มีใครให้คำตอบที่ถูกใจได้ นอกจากตัวเราจะใช้ชีวิตและหาความหมายให้มันด้วยตัวเอง ผ่านความยากลําบาก ผ่านความผิดพลาด ผ่าน ชัยชนะ ผ่านความสุขและความทุกข์ ไม่ว่าคุณจะใช้ศรัทธาหรือเหตุผลในการนําทาง ไม่ว่าคุณจะตั้งกติกาว่า คุณค่าของตัวเองจะมีอยู่บนเงื่อนไขหรือมาตรฐานใด แต่แค่การที่คุณยังอยู่ตรงนี้ ในเวลานี้ ก็แปลว่าคุณยังมี โอกาสและยังมีความเป็นไปได้ คุณสามารถที่จะใช้ชีวิตเพื่อตามหาความหมายและสร้างคุณค่าให้กับชีวิตตัวเอง แบบไหนก็ได้ และบางทีเราแต่ละคนอาจจะแค่เกิดมาเพื่อทําแค่นั้นก็เป็นได้  

ดิสโทเปีย/ยูโทเปีย : อนาคตโลกกับการเติบโตของใจคน 

 โลกดิสโทเปีย และ โลกยูโทเปีย คือโลกสองด้านบนเหรียญอันเดียวกัน คําว่ายูโทเปียถูกใช้ครั้งแรกในปี 1516 โดยชายชาวอังกฤษชื่อโธมัส มัวร์ อธิบายถึงสังคมอุดมคติที่มีสภาพความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะ ทางกาย ทางใจ ทางเศรษฐกิจ ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอิสระเสรี ไร้การกดขี่ ส่วนคําว่าดิสโทเปียค่อยเกิดขึ้น มาตามหลังโดยมีความหมายทางตรงข้ามคือหมายถึงสังคมที่ถูกกดขี่ สังคมที่ระบบโครงสร้างและเทคโนโลยีมี ปัญหา คนในสังคมดิสโทเปียจำต้องโหดร้ายเย็นชาต่อกัน ไร้อิสระเสรี เต็มไปด้วยข้อจำกัดในการใช้ชีวิต ฯลฯ  

นั่นคือความหมายโดยทั่วไปเมื่อเราพูดถึงคำว่าดิสโทเปีย แต่จริง ๆ แล้วคำว่ายูโทเปียดิสโทเปียมี นิยามต่างออกไปตามแต่ละยุคสมัย เนื่องจากความหมายของมันสะท้อนถึงความกังวลและความฝันของผู้คน และความกังวลและความฝันของคนในแต่ละยุคก็แตกต่างกันออกไป บางยุค เมื่อพูดถึงโลกดิสโทเปีย คนจะนึกถึง โลกที่ถูกปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ (ตามสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แม้ว่า cocept communism จะมีเจตนาสร้างสังคม Utopia ก็ตาม) เพราะในการนำมาประยุกต์ใช้จริง Communism จะมีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบเดินถือปืนควบคุมให้ทุกคนทำงานและอุทิศตัว เพื่อท่านผู้นำสูงสุดที่เป็นมหาวายร้ายแห่งโลก เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่ประชากรโลกหวาดกลัวคอมมิวนิสต์เหนือสิ่งอื่นใด ขณะที่เมื่อพูดถึงโลกยูโทเปีย คนก็จะนึกถึงโลกที่มนุษย์สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระและปลอดภัย เดินใต้ แสงสว่างได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครจับไปล้างสมอง สามารถค้าขายได้อย่างเสรี นับถือศาสนาหรือมีความเชื่อ อะไรก็ได้ ขณะเดียวกัน ในบางยุคดิสโทเปียคือโลกที่ล่มสลายจากเทคโนโลยีและยูโทเปียคือโลกที่ผู้คนใช้ เทคโนโลยีในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เมื่อกล่าวแบบนี้แล้ว ถ้าเราหันกลับมามองในยุคปัจจุบัน โลกเรากำลังเผชิญ กับปัญหาการเพิ่มของจำนวนประชากรลดลงอย่างเห็นได้ชัด ค่านิยมในเรื่องเพศที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราเคยมีคำว่า เกย์ สาวประเภทสอง กระเทย ทอม ดี้ แต่พอมาวันนี้เรามี LGBTQA + และตัวอักษรอีกสารพัดที่ เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ผู้คนมีทัศนคติทางเพศแตกต่างหลากหลายขึ้นทุกวัน สิทธิในการสมรสในเพศเดียวกันกำลังเบ่ง บานในโลกเสรี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าเราและหมุนไปอย่างรวดเร็ว จึงถึงคราวที่เราน่าจะลอง พิจารณานิยามของคำว่าดิสโทเปียและยูโทเปียในปัจจุบันใหม่อีกครั้ง  

เรื่องทางเพศในเฉดสีของยูโทเปียดิสโทเปีย  

เพศเป็นส่วนประกอบสำคัญของการดำรงอยู่ของมนุษย์ ในกรอบของยูโทเปีย เพศอาจถูกมองว่า เป็นการแสดงออกถึงเสรีภาพ เป็นการแสดงออกถึงตัวตน และเป็นสิ่งที่ต้องเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน สังคม ยูโทเปียจะโอบรับความหลากหลาย มีความตระหนักรู้ถึงรสนิยมทางเพศที่แตกต่าง ไม่ก้าวล่วงทางเลือกของคนอื่น ขณะเดียวกัน หากเราอยู่ในโลกดิสโทเปีย เพศจะกลายมาเป็นเครื่องมือกดขี่ สังคมมีกรอบขนบที่แข็งแกร่ง ลงโทษ คนเห็นต่าง ห้ามสํารวจหรือเล่นสนุกกับเพศและกิจกรรมทางเพศมากเกินไป การกดขี่ทางเพศอาจนําไปสู่ปัญหา สังคมและจิตวิทยาได้ในวงกว้าง ยิ่งไปกว่านั้นในบริบทสังคมสมัยใหม่ การนําเอาเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การมีลูกด้วยวิธีทางเลือกที่ไม่ใช่วิธีการธรรมชาติ ความรักยุคดิจิตัลที่เกิดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มที่คนสามารถรู้สึกดี ๆ ต่อกันถึงแม้จะผ่านแค่ตัวอักษรหรือเสียง โดยยังไม่เคยเจอหน้ากันจริง ๆ นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมการแสวงหา ความรักความสัมพันธ์ทางออนไลน์ ความหลากหลายเหล่านี้สามารถถูกมองได้ว่าเป็นความคิดหัวก้าวหน้าอิสระ เสรี หรือไม่ก็เป็นการทําลายคุณค่าความเป็นคนได้เช่นกัน ตกลงว่าเรากําลังเข้าสู่ยูโทเปียที่ความปรารถนาและ จินตนาการสุดพิลึกพิลั่นของเราจะถูกเติมเต็ม หรือ เรากําลังเข้าสู่โลกดิสโทเปียที่สายใยความสัมพันธ์ของมนุษย์ รวมทั้งความหมายของการมีชีวิตกําลังเลือนลางลงทุกทีกันแน่ 

ศาสนา เพศ และโลกในอุดมคติ  

ในหลายศาสนา การมีลูก มีครอบครัวถือเป็นเรื่องดี พระศิวะหรือพระแม่อุมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความ อุดมสมบูรณ์ แม้กระทั่งพระเจ้าในศาสนาอับราฮัม(ยิว คริสต์ อิสลาม)ก็อวยพรคนของพระองค์ว่าจงมีลูกมาก และทวีจํานวนขึ้นกล่าวได้ว่า ในหลาย ๆ ความเชื่อ กิจกรรมทางเพศและการสืบพันธุ์ก็ถูกมองเป็นเรื่องน่ายินดี จนถึงขั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะนําไปสู่การกําเนิดชีวิตใหม่ แต่ขณะเดียวกันทั้งพระเยซูและพระพุทธเจ้าต่างก็ถือ พรหมจรรย์และปฏิเสธความปรารถนาทางเนื้อหนังรวมทั้งความยึดติดทางโลก นักบวชในศาสนาคริสต์คาทอลิก นักบวชในศาสนาพุทธหลาย ๆ นิกาย นักบวชในบางลัทธิ ก็ดํารงตัวอยู่ในเพศพรหมจรรย์ ราวกับจะบอกว่าการตื่น รู้นั้นเกิดขึ้นได้จากการมุ่งไปยังภายในของตัวเองมากกว่าการเติมเต็มและแสวงหาจากภายนอก  

สองมุมมองนี้สะท้อนว่าเรื่องเพศไม่ได้มีค่าเพียงเพื่อการสืบพันธุ์ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการพัฒนาจิต วิญญาณได้ด้วย ขณะเดียวกันการถือพรหมจรรย์และการปฏิเสธความสัมพันธ์ทางเพศ สําหรับบางคนมันช่วยให้ หลุดพ้นจากความเป็นทาสของความปรารถนาและมุ่งเน้นไปยังเป้าหมายทางจิตวิญญาณ เช่น การค้นพบความ สงบภายใน แต่ขณะเดียวกัน การยอมรับเพศสัมพันธ์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมนุษย์ ก็ช่วยเชื่อมโยง มนุษย์กับการสร้างสรรค์และความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้เช่นกัน  

ในโลกดิสโทเปีย ศาสนาอาจสร้างความทุกข์ให้กับผู้คนได้เมื่อเรื่องเพศถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกดขี่ ตี ตรา บังคับให้ทุกคนปฏิบัติเหมือนกัน ใช้คำสอนทางศาสนาในการกดขี่คนที่มีวิถีชีวิตและรสนิยมทางเพศที่แตก ต่าง ขณะที่มุมมองยูโทเปีย ศาสนาและความเชื่อสามารถเป็นเครื่องมือในการประสานเรื่องเพศและจิตวิญญาณ ให้เป็น 1 ได้ ทุกวันนี้เราเห็นความเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQA+ เรียกร้องความเท่าเทียมและการปลดปล่อยทางเพศ มีการยอมรับและให้พื้นที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น จากเดิมที่โบสถ์คริสต์มีแนวคิดต่อต้านผู้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันก็เริ่มมีโบสถ์ที่ให้การยอมรับและจัดการแต่งงานให้คู่รักเพศเดียวกันได้มากขึ้น เราเห็นผู้มีความหลากหลายทางเพศในศาสนสถานกันมากขึ้นและเป็นเรื่องปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ศาสนาเองก็อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเช่นกัน กรอบศีลธรรมและจิตวิญญาณค่อย ๆ ยอมรับรูปแบบความรักและความ สัมพันธ์ที่หลากหลายมากขึ้นทุกวัน แต่ขณะเดียวกันก็มีคนที่วิจารณ์ว่าศาสนาไม่ควรยอมรับเรื่องแบบนี้เลย เพราะ ความผิดเพศคือการผิดธรรมชาติ และการมีวิถีชีวิตผิดธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่ลดทอนความเป็นมนุษย์  

การลดลงของจำนวนประชากรโลกเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ 

พวกเรากำลังยืนเป็นพยานอยู่ในสถานการณ์ที่การเพิ่มของจำนวนประชากรโลกลดลงเรื่อย ๆ หลาย ศตวรรษที่พวกเราอยู่กันมาโดยให้นิยามว่าตัวเลขเพิ่มขึ้นคือการเติบโตและตัวเลขลดลงคือการถดถอย ไม่ว่าจะ เพราะอัตราการแต่งงานต่ำลง การแต่งงานในเพศเดียวกันเพิ่มมากขึ้น (อันที่จริง ผลการวิจัยทางสถิติแสดงให้เห็น ว่าการที่มีคู่รักเพศเดียวกันเพิ่มไม่ใช่เหตุผลหลักของการลดลงของจำนวนประชากร*) อัตราการเกิดก็ต่ำลงเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะมาจากเพราะรูปแบบกิจกรรมทางเพศในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากอดีตมาก หรือเพราะการที่ผู้คนมีวิถีชีวิต เปลี่ยนไปจากอดีต แต่งงานช้า มีลูกช้าลง หรืออาจจะเป็นเพราะผู้คนมีความกังวลกับสังคมและเศรษฐกิจก็เลยไม่ กล้าสร้างครอบครัวก็เป็นได้  

ดิสโทเปีย: โลกที่ประชากรลดลงอาจนำไปสู่การชะงักงันทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนแรงงาน และการเลือนหาย ทางวัฒนธรรม บางเมืองอาจกลายเป็นเมืองร้างดังที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นหรือบางแห่งในยุโรปที่มีแต่ผู้สูงวัย และจำนวนประชากรในเมืองก็ลดลงเรื่อย ๆ ความเหงาและความโดดเดี่ยวอาจกลายเป็นเรื่องปกติที่คนในสังคม ต้องเผชิญ เรากำลังเดินไปสู่การล่มสลายของยุคสมัย  

ยูโทเปีย: ในทางกลับกัน โลกที่มีคนน้อยลงอาจช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อม ให้ธรรมชาติมีโอกาสฟื้นฟู สังคม อาจมุ่งเน้นคุณภาพชีวิต ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง และการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลมากขึ้น สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปตรง หน้าอาจกำลังพาเราเดินไปสู่โลกในอุดมคติก็เป็นได้  

บางทีโลกดิสโทเปียหรือยูโทเปียอาจไม่เกี่ยวอะไรกับการเจริญเติบโตทางโลกที่ต้องมีตัวเลขให้จับต้อง ได้ หากแต่เป็นการเติบโตทางปัญญา ความเมตตา จิตวิญญาณ และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโลกใบนี้ ส่วนจะครองตัวเป็นพรหมจรรย์ หรือมีกิจกรรมทางเพศ เป็นโสดหรือมีคู่ คบเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกัน มันไม่ได้ มีอะไรดีกว่าอะไร การงดเว้นจากความปรารถนาทำให้คุณได้ฝึกฝนสภาวะเหนือความเป็นทาสต่อเนื้อหนังตัวเอง แต่การมีกิจกรรมทางเพศก็เป็นการทำตามธรรมชาติที่จะสืบพันธุ์เช่นกัน ไม่ว่าแบบไหนก็ล้วนเป็นการแสดงออก ของความเป็นมนุษย์ในตัวเรา  

สุดท้ายแล้วเมื่อย้อนกลับไปที่รากศัพท์ของคำว่ายูโทเปีย มันมาจากคำว่า no land หรือ “สถานที่ที่ไม่มี อยู่จริง” หมายความว่า จริง ๆ แล้วมนุษย์แค่มองหาสถานที่หรือสภาพสังคมที่ถูกใจตัวเองและอยากให้มันจับต้อง ได้แบบนั้น แต่เพราะเป็นเช่นนั้นนั่นแหละ มันจึงกลายเป็นยูโทเปียหรือโลกที่ไม่มีอยู่จริง พอพิจารณาตามนี้แล้ว บางทียูโทเปียอาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ตายตัว หากแต่เป็นกระบวนการพยายามอย่างต่อเนื่องที่เราจะปรับ ความปรารถนาของเราให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต และไม่มีอะไรถูกหรือผิดในการเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบไหน มีรสนิยม อย่างไร มีวิถีชีวิตเหมือนอย่างคนส่วนน้อยหรือส่วนมาก เพราะสุดท้ายแล้วการเดินทางสู่โลกที่ดีขึ้นคือการก้าวข้าม ความคิดสองขั้วไปสู่การค้นพบนิยามความหมายของการเป็นมนุษย์ของเรานั่นเอง