ทำไมมนุษย์จึงปรารถนาความเป็นอมตะ ?
มนุษย์แสวงหาชีวิตนิรันดร์มาตลอดตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน สาเหตุหลักที่เป็นตัวผลักดันแรง ปรารถนานี้ก็คือความ[กลัวความตาย]ของมนุษย์นั่นเอง ความกลัวที่จะสูญเสียโอกาสในการมีประสบการณ์และ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในชีวิตไป นอกจากนี้ความปรารถนาจะมีชีวิตอันเป็นอมตะยังสะท้อนให้เห็นถึงความอยากรู้ อยากเห็นและความทะเยอทะยานของมนุษย์ที่ต้องการก้าวข้ามข้อจำกัดทางกายภาพของตนเอง ถึงแม้ว่าความ เป็นอมตะอาจยังเป็นความฝันที่ไม่เคยมีใครทำได้ แต่การยืดอายุขัยและคุณภาพชีวิตยังพอจะเป็นไปได้อยู่บ้าง ดัง จะเห็นจากการที่มนุษย์เรามีตัวช่วยจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชะลออายุต่าง ๆ
ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Hope Frozen บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวของ ดร. สหธร ณ นคร นัก วิทยาศาสตร์ด้านเลเซอร์ และภรรยา คุณนฤมล ณ นคร ที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียลูกสาววัยสองขอบ “น้อง ไอนส์” จากโรคมะเร็งสมองชนิดหายากและไม่มีทางรักษาได้ ด้วยความรักที่มีต่อลูกสาวและความหวังใน วิทยาศาสตร์ พวกเขาตัดสินใจนำสมองของลูกสาวไปแช่แข็งด้วยเทคโนโลยีไครโอนิกส์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยหวังว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เธอฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าวันนั้นคุณพ่อคุณแม่อาจ จะไม่ได้มีชีวิตอยู่เจอกันอีกแล้วก็ตาม
เรื่องนี้อาจฟังดูเหมือนพล็อตภาพยนตร์ไซไฟที่บอกเล่าเรื่องราวของมนุษย์ในโลกอนาคต แต่นี่คือเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเรา คนที่ได้รับชมสารคดีเรื่องนี้ก็มีการถกเถียงกันในแง่มุมทางพุทธศาสนาที่จะมองว่าการ ตัดสินใจของครอบครัวช่างย้อนแย้งกับแนวคิดต่อความตายและการเกิดใหม่ในศาสนาพุทธเสียเหลือเกิน เราจะไม่ เปิดเผยสาระสําคัญของสารคดีนี้มากไปกว่านี้ แต่บอกได้แค่มันเป็นเรื่องราวที่คุณไม่ควรพลาด หากคุณเคยตั้ง คําถามถึงคุณค่าของชีวิตและความหมายของการมีอยู่
อะไรบ้างที่มีผลกับอายุขัยของมนุษย์
คุณคิดว่าระหว่างคนรวยกับคนจนใครอายุยืนกว่ากัน? งานวิจัยแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ชัดเจน ระหว่างสถานะทางสังคมและเศรษฐกิน กับอายุขัยของมนุษย์หนึ่งคน พูดง่าย ๆ ว่า คนรวยมักจะมีอายุยืนกว่า คนจน เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ในการใช้ชีวิต เช่น การเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า การได้รับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ และอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมสะอาด ตัวอย่างเช่นการศึกษาในปี 2016 นิตยสารสมาคมการแพทย์ แห่งอเมริกา ( The Journal of the American Medical Association ) พบว่าในสหรัฐอเมริกา คนที่ร่ํารวยที่สุด มีอายุยืนยาวกว่าคนที่ยากจนที่สุดอย่างมีนัยยะสําคัญ อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยนั้นไม่ได้จะบอกว่าความร่ํารวยเพียงอย่างเดียวจะสามารถรับประกันสุขภาพได้ ถ้าคนรวยคนหนึ่งใช้ชีวิตสํามะเลเทเมา ไม่ดูแลตัวเอง ก็ย่อมอายุสั้นได้ เหมือนกัน นั่นแปลว่ามันก็ขึ้นอยู่กับการที่บุคคลนั้น ๆ จะต้องมีความอยากที่จะมีชีวิตที่ดีและมีวินัยในการตั้งใจใช้ ชีวิตด้วย เพียงแต่การที่เขามีความมั่งคั่ง มันทําให้เขาทําตามความปรารถนานั้นได้โดยไม่ติดขัดเท่าคนที่ไม่มีเงิน
อุตสาหกรรมสุขภาพกําลังเติบโตด้วยเทคโนโลยีและการให้บริการที่ถูกออกแบบมาเพื่อยืดอายุมนุษย์ใน ทุก ๆ ทาง ทุกวันนี้เรามีเทคโนโลยีชีวภาพในการปรับแต่งยีน (Biotechnology and Gene Editing) เป็นหนึ่งใน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ การเกษตร และสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล โดยมีเป้า หมายในการพัฒนาสิ่งมีชีวิต คําว่าปรับแต่งยีนในที่นี้ก็คือการเข้าไปเพิ่ม ลบ เปลี่ยนแปลงลําดับพันธุกรรมใน ระดับที่แม่นยําที่สุด วิธีนี้ช่วยให้สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้อย่างตรงจุด ตัวอย่าง ที่ชัดเจนคือพืช GMO เช่น ข้าวโพดที่ทนต่อโรคและแมลง หรือ ทําให้มันฝรั่งสามารถเติบโตได้แม้สภาพอากาศจะ เลวร้าย เรายังสามารถใช้เทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรมในการสร้างแบคทีเรียที่สามารถย่อยพลาสติกได้นั่นแปล ว่าเรามันจะส่งผลดีกับสิ่งแวดล้อมของเรา ในสังคมเราเคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้บริโภคต่อต้านผลิตผลที่มาจากพืช
หรือสัตว์ที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรม ด้วยความเกรงว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดผลกระทบต่อธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถ ควบคุมได้ แต่ถ้าเราบอกว่าเทคโนโลยีนี้นอกจากใช้กับพืชและสัตว์แต่มันก็ถูกนํามาใช้มนุษย์ล่ะ เรายังจะต่อต้าน มันอยู่ไหม? ด้วยเทคโนโลยีนี้ มนุษย์สามารถใช้วิธีนี้ในการรักษาโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ได้แล้ว เราสามารถปรับแต่งยีนให้เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถกําจัดเซลล์มะเร็งได้แล้วด้วย แน่นอนว่ามนุษย์ยังไม่ สามารถเอาชนะโรคภัยเหล่านี้ได้โดยสมบูรณ์ เรายังมีข้อจํากัดเรื่องทรัพยากร ค่าใช้จ่าย และต้องอาศัยผู้บริจาค ไขกระดูกเพื่อปลูกถ่ายในภายหลังอีก แต่เพียงเท่านี้เทคโนโลยีทางการแพทย์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันช่วยเพิ่มโอกาส ในการรักษาและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้่ป่วยเป็นอย่างมาก
ในปี 2023 ไบรอัน จอห์นสัน นักธุรกิจและนักลงทุนด้านเทคโนโลยีชาวอเมริกัน ได้สร้างโครงการชะลอวัย และยืดอายุขัยของตนเองที่เรียกว่า Project Blueprint เขาทําการถ่ายพลาสมา(ส่วนประกอบของเลือด) จาก ลูกชายวัย 17 ปีของเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองที่เรียกว่าการแลกเปลี่ยนพลาสมาจากรุ่นต่อรุ่น กล่าวคือ เขารับพลาสมาจากลูกชาย และเขาเองก็เอาพลาสมาตัวเองให้พ่อวัย 70 ปีของเขา การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลกระทบของพลาสมาจากผู้บริจาคที่มีอายุน้อยต่อกระบวนการชะลอวัย ในตอนนั้นมีเสียงวิพากย์ วิจารณ์มากมายว่าเขาทําสิ่งที่ไม่สมควร ฝืนธรรมชาติ เอาชีวิตคนในครอบครัวมาเป็นหนูทดลอง สุดท้ายเขายุติผล การทดลองด้วยเหตุผลที่ว่าไม่พบประโยชน์ชัดเจนจากการถ่ายพลาสมา ถึงแม้ว่าโครงการจะไม่เป็นผลสําเร็จแต่ หากใครได้ไปดูประวัติและวิถีชีวิตของเขา ก็จะพบว่าเขาเป็นชายวัย 47 ปี ที่ดูเด็กกว่าอายุมาก ๆ ทั้งนี้เพราะเขา ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอเพื่อบริหารหัวใจและหลอดเลือด เขาใช้การตรวจวัด ทางชีวิตภาพและวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมพร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ยืดอายุขัยตัวเองออกไปได้ ยาวนานที่่สุด
นวัตกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิธีที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้ามาช่วยให้การมีชีวิตที่ยืนยาวมี ความเป็นไปได้มากกว่าเดิม แม้ว่าทั้งหมดนี้จะฟังดูเป็นเรื่องโลกอนาคต แต่อันที่จริงความที่มนุษย์ใฝ่ฝันถึงชีวิตอัน เป็นนิรันดร์มาตลอดตั้งแต่อดีตกาลอยู่แล้ว ดังจะเห็นว่าแนวคิดยาอายุวัฒนะก็อยู่คู่ความเชื่อเรามาตลอด เริ่ม ตั้งแต่ในจีนโบราณ ลัทธิเต๋ามีความเชื่อเรื่อง ‘หยินหยาง’ และ ‘พลังชี่’ ที่หมายถึงความสมดุลของพลังชีวิต นักเล่น แร่แปรธาตุชาวจีนพยายามสร้างยาอายุวัฒนะจากแร่ธาตุ พวกเขาใช้ทองคําและปรอทแต่สุดท้ายมันกลายมาเป็น พิษกับผู้ใช้แทน ทางอินเดียก็มีการพูดถึง ‘รสายนะ’ ในคัมภีร์อายุรเวท โดยกล่าวถึงศาสตร์แห่งการฟื้นฟูร่างกาย และจิตใจด้วยการใช้สมุนไพรและอาหารที่ส่งผลต่อสุขภาพ โลกอาหรับสมัยยุคทองของอิสลามก็มีนักปรัชญาและ นักวิทยาศาสตร์ชาวเปอร์เซียที่ชื่ออิบนุซีนาพยายามสกัดยาอายุวัฒนะจากสมุนไพรและยารักษาโรคซึ่งกลายมา เป็นแรงบันดาลใจของการวิจัยการแพทย์สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในยุโรปเองก็มีแนวคิด ‘ศิลานักปราชญ์’ ซึ่งเป็น เหมือนตํานานที่เซอร์นิโคลัส แฟลมเมล และเซอร์ไอแซค นิวตันก็เชื่อว่าหากสร้างศิลาที่ว่านี้ได้ นอกจากมันจะ สามารถเปลี่ยนตะกั่วให้เป็นทอง ก็ยังสามารถผลิตยาอายุวัฒนะที่ผู้ได้ด่ืมกินจะมีชีวิตยืนยาวหรือเป็นอมตะได้ บุคคลสําคัญในอดีตเหล่านี้ล้วนแล้วแต่พยายามไขความลับของจักรวาลและเอาชนะข้อจํากัดทางกายภาพของ มนุษย์กันทั้งสิ้น
ความเชื่อทางจิตวิญญาณกับอายุขัย
ถึงแม้ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะชี้ให้เห็นว่ามนุษย์พยายามหาหนทางในการมีชีวิตนิรันดร์มาโดย ตลอด และเทคโนโลยีรวมถึงศาสตร์ชะลอวัยในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าต้องใช้เงินมากขนาดไหนในการยืดชีวิตและ ต้องรักษาคุณภาพชีวิตเอาไว้ในระดับดีด้วย แต่ไม่ได้แปลว่าถ้าคุณไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านั้นได้แล้วคุณ จะไร้ซึ่งโอกาสในการมีอายุที่ยืนยาวไปเลย อันที่จริงแล้วความเชื่อและการปฏิบัติทางจิตวิญญาณมีความ เกี่ยวข้องกับอายุและสุขภาพที่ดีอย่างเห็นได้ชัด เช่น นักบวชที่มีชีวิตเรียบง่ายโดยมุ่งเน้นการฝึกสมาธิ รักษาความ
สมดุลในชีวิต ใช้ชีวิตแบบสมถะและมิได้ไล่ไขว่คว้าตามความเจริญทางโลก มีกิจวัตรที่มีระเบียบวินัย ตื่นนอน เข้า นอนตามแสงแดด ทําให้ช่วยรักษานาฬิกาชีวิตเอาไว้ได้ ปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยลดความเครียดและโรคเรื้อรังได้ อย่างมีนัยยะสําคัญ มีงานวิจัยจํานวนไม่น้อยที่สนับนสนุนเกี่ยวกับอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นของนักบวช เช่น งานวิจัย จากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นและอินเดียพบว่า นักบวชในบางศาสนา พระสงฆ์ในพุทธศาสนา โยคีในอินเดีย พวกเขา มีอายุเฉลี่ยที่ยืนยาวกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรทั่วไป แม้แต่กลุ่มพระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมในญี่ปุ่น (พระเซ็น) ก็มีอายุ ขัยเฉลี่ยสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 5-10 ปี
สุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าเราจะไล่ตามไขว่คว้าชีวิตอันเป็นนิรันดร์เพราะอะไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใคร เอาชนะความตายได้ การยอมรับความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจะช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของเวลาและสิ่งที่มี อยู่ตรงหน้า เราอาจไม่สามารถหยุดยั้งความตายได้ แต่เราสามารถจะเลือกใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกวัน เราสามารถ เปลี่ยนแรงปรารถนาที่เรายังใฝ่ฝันจะเป็นอมตะให้กลายเป็นแหล่งพลังงานการสร้างสรรค์ การแบ่งปัน การใช้ชีวิต อย่างมีคุณค่าไม่เพียงแต่เพื่อตัวเองแต่ยังเพื่อคนอื่น และหากเราทําแบบนั้นแล้ว บางทีเราอาจเป็นอมตะได้ในแง่ที่ สิ่งที่เราทําทิ้งไว้ยังอยู่ในโลกใบนี้ ในความทรงจําของใครสักคนถึงแม้เราจะจากไปแล้ว ดังคํากล่าวที่ใครสักคนเคย พูดไว้นานแล้ว “คนเราจะตายทางกายภาพไม่ใช่จุดจบเดียว แต่การถูกลืมเลือนจากความทรงจํานั้นก็เหมือน เป็นการตายซ้ําอีกครั้งหนึ่ง”