ทำไมคนเราถึงจน ? – ที่นี่มีคำตอบ พร้อมแนวคิดพัฒนาฐานะให้ดียิ่งขึ้น

คำถามที่ว่า “ทำไมคนถึงจน” เป็นเรื่องซับซ้อนที่มีหลายปัจจัยทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้าง แต่ในแง่ของ จิตวิทยา ความกล้า ความกลัว และการแสวงหาโอกาสให้ตนเอง ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้คนบางคนติดอยู่ในวงจรความยากจนได้ ดังนี้

 

จิตวิทยาที่ส่งผลต่อความจน

  • Scarcity Mindset (ความคิดแบบขาดแคลน): เมื่อคนอยู่ในภาวะขาดแคลน ไม่ว่าจะเป็นเงิน เวลา หรือทรัพยากร มักจะทำให้เกิด “Scarcity Mindset” ซึ่งเป็นกรอบความคิดที่มุ่งเน้นแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทำให้มองไม่เห็นภาพรวมหรือโอกาสในระยะยาว การใช้สมองไปกับการจัดการความขาดแคลนในปัจจุบัน ทำให้ลดความสามารถในการวางแผนอนาคต การตัดสินใจมักจะมุ่งเน้นไปที่การเอาชีวิตรอดมากกว่าการลงทุนเพื่อการเติบโต
  • Self-Efficacy และ Learned Helplessness:
    • Self-Efficacy คือ ความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองที่จะประสบความสำเร็จในสถานการณ์ต่างๆ คนที่มี Self-Efficacy ต่ำ มักจะรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน
    • Learned Helplessness คือ ภาวะที่บุคคลเรียนรู้ที่จะยอมจำนนต่อสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เพราะเคยพยายามแก้ไขแล้วแต่ไม่สำเร็จมาหลายครั้ง ทำให้เกิดความรู้สึกสิ้นหวังและไม่พยายามอีกต่อไป แม้จะมีโอกาสใหม่ๆ เข้ามา
  • Fatalism (โชคชะตา): การเชื่อว่าชีวิตถูกกำหนดโดยโชคชะตาหรือสิ่งภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ อาจทำให้คนขาดแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง เพราะคิดว่าทำอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
  • Social Comparison (การเปรียบเทียบทางสังคม): การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น โดยเฉพาะกับคนที่มีฐานะดีกว่า อาจนำไปสู่ความรู้สึกด้อยค่า ความเครียด และความไม่พอใจในชีวิตของตัวเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและการตัดสินใจทางการเงินได้
  • พฤติกรรมการใช้จ่าย: พฤติกรรมบางอย่างที่เกิดจากปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น การใช้จ่ายเพื่อความสุขชั่วคราว การไม่เก็บออมเงิน หรือการซื้อของลดราคาโดยไม่ได้วางแผน อาจทำให้สถานะทางการเงินไม่ดีขึ้

ความกลัวที่ฉุดรั้ง

ความกลัว เป็นอารมณ์พื้นฐานที่สามารถเป็นได้ทั้งสิ่งกระตุ้นและสิ่งฉุดรั้ง สำหรับคนจน ความกลัวมักจะเล่นบทบาทที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงและก้าวไปข้างหน้า:

  • กลัวความล้มเหลว: เมื่อมีทรัพยากรจำกัด การล้มเหลวครั้งเดียวอาจหมายถึงหายนะ ทำให้คนยากจนมักจะกลัวที่จะลองสิ่งใหม่ๆ หรือเสี่ยงลงทุนในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ
  • กลัวการเปลี่ยนแปลง: การยึดติดกับสิ่งที่คุ้นเคย แม้ว่าจะไม่ดีเท่าที่ควร เพราะกลัวความไม่แน่นอนของการเปลี่ยนแปลง อาจทำให้คนติดอยู่ในสถานการณ์เดิมๆ ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนา
  • กลัวการถูกตัดสิน: ในสังคมที่ให้คุณค่ากับความสำเร็จทางการเงินสูง คนจนอาจกลัวการถูกตัดสินหรือดูถูกจากสังคม หากพยายามแล้วไม่ประสบความสำเร็
  • กลัวที่จะออกจาก Comfort Zone: การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย แม้จะยากลำบาก แต่ก็รู้สึกปลอดภัยกว่าการออกไปเผชิญกับโลกที่ไม่รู้จัก ซึ่งอาจมีโอกาสที่ดีกว่า

ความกล้าและการแสวงหาโอกาสให้ตนเอง

ความกล้า คือสิ่งที่ตรงข้ามกับความกลัว และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้คนสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้:

  • กล้าที่จะเสี่ยง: การกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่อาจมีความเสี่ยง เช่น การเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่ตลาดต้องการ หรือการเปลี่ยนอาชีพ
  • กล้าที่จะล้มเหลวและเรียนรู้: คนที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่กลัวความล้มเหลว แต่จะมองว่าความล้มเหลวเป็นบทเรียนและโอกาสในการปรับปรุง
  • กล้าที่จะลงทุนในตัวเอง: การลงทุนกับการศึกษา การพัฒนาทักษะ หรือการสร้างเครือข่ายสังคม แม้ว่าจะต้องใช้เงินและเวลา แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างโอกาสในระยะยาว
  • กล้าที่จะแสวงหาโอกาส:
    • การมองเห็นโอกาส: คนที่มีความคิดเปิดกว้างและมองหาโอกาสอยู่เสมอ มักจะเห็นช่องทางในการสร้างรายได้หรือพัฒนาตัวเองที่คนอื่นอาจมองข้ามไป
    • การสร้างเครือข่าย: การสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายที่ดี สามารถนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจ การงาน หรือการช่วยเหลือสนับสนุนกันได้
    • การปรับตัว: โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การมีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้คว้าโอกาสที่เกิดขึ้นได้

โดยสรุปแล้ว ความจนไม่ใช่แค่เรื่องของการขาดแคลนเงินทองเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของกรอบความคิดที่ถูกหล่อหลอมจากประสบการณ์ ความเชื่อ และความกลัว การจะหลุดพ้นจากวงจรความยากจนได้นั้น จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยา ปรับเปลี่ยนกรอบความคิดจากความขาดแคลนไปสู่ Growth Mindset (กรอบความคิดที่เชื่อว่าตนเองสามารถพัฒนาได้) และพัฒนา ความกล้า ที่จะเผชิญหน้ากับความกลัว แสวงหาและคว้า โอกาส ให้กับตนเอง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

การแสวงหาชีวิตอมตะ : ความมั่งคั่ง ความเชื่อ และศาสตร์แห่งการรักษาคุณภาพชีวิต

ทำไมมนุษย์จึงปรารถนาความเป็นอมตะ  

มนุษย์แสวงหาชีวิตนิรันดร์มาตลอดตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน สาเหตุหลักที่เป็นตัวผลักดันแรง ปรารถนานี้ก็คือความ[กลัวความตาย]ของมนุษย์นั่นเอง ความกลัวที่จะสูญเสียโอกาสในการมีประสบการณ์และ ความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในชีวิตไป นอกจากนี้ความปรารถนาจะมีชีวิตอันเป็นอมตะยังสะท้อนให้เห็นถึงความอยากรู้ อยากเห็นและความทะเยอทะยานของมนุษย์ที่ต้องการก้าวข้ามข้อจำกัดทางกายภาพของตนเอง ถึงแม้ว่าความ เป็นอมตะอาจยังเป็นความฝันที่ไม่เคยมีใครทำได้ แต่การยืดอายุขัยและคุณภาพชีวิตยังพอจะเป็นไปได้อยู่บ้าง ดัง จะเห็นจากการที่มนุษย์เรามีตัวช่วยจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชะลออายุต่าง ๆ  

ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Hope Frozen บอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวของ ดร. สหธร ณ นคร นัก วิทยาศาสตร์ด้านเลเซอร์ และภรรยา คุณนฤมล ณ นคร ที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียลูกสาววัยสองขอบน้อง ไอนส์จากโรคมะเร็งสมองชนิดหายากและไม่มีทางรักษาได้ ด้วยความรักที่มีต่อลูกสาวและความหวังใน วิทยาศาสตร์ พวกเขาตัดสินใจนำสมองของลูกสาวไปแช่แข็งด้วยเทคโนโลยีไครโอนิกส์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยหวังว่าในอนาคตจะมีเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เธอฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าวันนั้นคุณพ่อคุณแม่อาจ จะไม่ได้มีชีวิตอยู่เจอกันอีกแล้วก็ตาม  

เรื่องนี้อาจฟังดูเหมือนพล็อตภาพยนตร์ไซไฟที่บอกเล่าเรื่องราวของมนุษย์ในโลกอนาคต แต่นี่คือเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเรา คนที่ได้รับชมสารคดีเรื่องนี้ก็มีการถกเถียงกันในแง่มุมทางพุทธศาสนาที่จะมองว่าการ ตัดสินใจของครอบครัวช่างย้อนแย้งกับแนวคิดต่อความตายและการเกิดใหม่ในศาสนาพุทธเสียเหลือเกิน เราจะไม่ เปิดเผยสาระสําคัญของสารคดีนี้มากไปกว่านี้ แต่บอกได้แค่มันเป็นเรื่องราวที่คุณไม่ควรพลาด หากคุณเคยตั้ง คําถามถึงคุณค่าของชีวิตและความหมายของการมีอยู่  

อะไรบ้างที่มีผลกับอายุขัยของมนุษย์  

คุณคิดว่าระหว่างคนรวยกับคนจนใครอายุยืนกว่ากัน? งานวิจัยแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ชัดเจน ระหว่างสถานะทางสังคมและเศรษฐกิน กับอายุขัยของมนุษย์หนึ่งคน พูดง่าย ๆ ว่า คนรวยมักจะมีอายุยืนกว่า คนจน เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ในการใช้ชีวิต เช่น การเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า การได้รับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ และอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมสะอาด ตัวอย่างเช่นการศึกษาในปี 2016 นิตยสารสมาคมการแพทย์ แห่งอเมริกา ( The Journal of the American Medical Association ) พบว่าในสหรัฐอเมริกา คนที่ร่ํารวยที่สุด มีอายุยืนยาวกว่าคนที่ยากจนที่สุดอย่างมีนัยยะสําคัญ อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยนั้นไม่ได้จะบอกว่าความร่ํารวยเพียงอย่างเดียวจะสามารถรับประกันสุขภาพได้ ถ้าคนรวยคนหนึ่งใช้ชีวิตสํามะเลเทเมา ไม่ดูแลตัวเอง ก็ย่อมอายุสั้นได้ เหมือนกัน นั่นแปลว่ามันก็ขึ้นอยู่กับการที่บุคคลนั้น ๆ จะต้องมีความอยากที่จะมีชีวิตที่ดีและมีวินัยในการตั้งใจใช้ ชีวิตด้วย เพียงแต่การที่เขามีความมั่งคั่ง มันทําให้เขาทําตามความปรารถนานั้นได้โดยไม่ติดขัดเท่าคนที่ไม่มีเงิน  

อุตสาหกรรมสุขภาพกําลังเติบโตด้วยเทคโนโลยีและการให้บริการที่ถูกออกแบบมาเพื่อยืดอายุมนุษย์ใน ทุก ๆ ทาง ทุกวันนี้เรามีเทคโนโลยีชีวภาพในการปรับแต่งยีน (Biotechnology and Gene Editing) เป็นหนึ่งใน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงวงการแพทย์ การเกษตร และสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล โดยมีเป้า หมายในการพัฒนาสิ่งมีชีวิต คําว่าปรับแต่งยีนในที่นี้ก็คือการเข้าไปเพิ่ม ลบ เปลี่ยนแปลงลําดับพันธุกรรมใน ระดับที่แม่นยําที่สุด วิธีนี้ช่วยให้สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้อย่างตรงจุด ตัวอย่าง ที่ชัดเจนคือพืช GMO เช่น ข้าวโพดที่ทนต่อโรคและแมลง หรือ ทําให้มันฝรั่งสามารถเติบโตได้แม้สภาพอากาศจะ เลวร้าย เรายังสามารถใช้เทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรมในการสร้างแบคทีเรียที่สามารถย่อยพลาสติกได้นั่นแปล ว่าเรามันจะส่งผลดีกับสิ่งแวดล้อมของเรา ในสังคมเราเคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้บริโภคต่อต้านผลิตผลที่มาจากพืช  

หรือสัตว์ที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรม ด้วยความเกรงว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดผลกระทบต่อธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถ ควบคุมได้ แต่ถ้าเราบอกว่าเทคโนโลยีนี้นอกจากใช้กับพืชและสัตว์แต่มันก็ถูกนํามาใช้มนุษย์ล่ะ เรายังจะต่อต้าน มันอยู่ไหม? ด้วยเทคโนโลยีนี้ มนุษย์สามารถใช้วิธีนี้ในการรักษาโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ได้แล้ว เราสามารถปรับแต่งยีนให้เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถกําจัดเซลล์มะเร็งได้แล้วด้วย แน่นอนว่ามนุษย์ยังไม่ สามารถเอาชนะโรคภัยเหล่านี้ได้โดยสมบูรณ์ เรายังมีข้อจํากัดเรื่องทรัพยากร ค่าใช้จ่าย และต้องอาศัยผู้บริจาค ไขกระดูกเพื่อปลูกถ่ายในภายหลังอีก แต่เพียงเท่านี้เทคโนโลยีทางการแพทย์ก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามันช่วยเพิ่มโอกาส ในการรักษาและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้่ป่วยเป็นอย่างมาก  

ในปี 2023 ไบรอัน จอห์นสัน นักธุรกิจและนักลงทุนด้านเทคโนโลยีชาวอเมริกัน ได้สร้างโครงการชะลอวัย และยืดอายุขัยของตนเองที่เรียกว่า Project Blueprint เขาทําการถ่ายพลาสมา(ส่วนประกอบของเลือด) จาก ลูกชายวัย 17 ปีของเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองที่เรียกว่าการแลกเปลี่ยนพลาสมาจากรุ่นต่อรุ่น กล่าวคือ เขารับพลาสมาจากลูกชาย และเขาเองก็เอาพลาสมาตัวเองให้พ่อวัย 70 ปีของเขา การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลกระทบของพลาสมาจากผู้บริจาคที่มีอายุน้อยต่อกระบวนการชะลอวัย ในตอนนั้นมีเสียงวิพากย์ วิจารณ์มากมายว่าเขาทําสิ่งที่ไม่สมควร ฝืนธรรมชาติ เอาชีวิตคนในครอบครัวมาเป็นหนูทดลอง สุดท้ายเขายุติผล การทดลองด้วยเหตุผลที่ว่าไม่พบประโยชน์ชัดเจนจากการถ่ายพลาสมา ถึงแม้ว่าโครงการจะไม่เป็นผลสําเร็จแต่ หากใครได้ไปดูประวัติและวิถีชีวิตของเขา ก็จะพบว่าเขาเป็นชายวัย 47 ปี ที่ดูเด็กกว่าอายุมาก ๆ ทั้งนี้เพราะเขา ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอเพื่อบริหารหัวใจและหลอดเลือด เขาใช้การตรวจวัด ทางชีวิตภาพและวิเคราะห์ข้อมูลทางพันธุกรรมพร้อมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ยืดอายุขัยตัวเองออกไปได้ ยาวนานที่่สุด  

นวัตกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิธีที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้ามาช่วยให้การมีชีวิตที่ยืนยาวมี ความเป็นไปได้มากกว่าเดิม แม้ว่าทั้งหมดนี้จะฟังดูเป็นเรื่องโลกอนาคต แต่อันที่จริงความที่มนุษย์ใฝ่ฝันถึงชีวิตอัน เป็นนิรันดร์มาตลอดตั้งแต่อดีตกาลอยู่แล้ว ดังจะเห็นว่าแนวคิดยาอายุวัฒนะก็อยู่คู่ความเชื่อเรามาตลอด เริ่ม ตั้งแต่ในจีนโบราณ ลัทธิเต๋ามีความเชื่อเรื่องหยินหยางและพลังชี่ที่หมายถึงความสมดุลของพลังชีวิต นักเล่น แร่แปรธาตุชาวจีนพยายามสร้างยาอายุวัฒนะจากแร่ธาตุ พวกเขาใช้ทองคําและปรอทแต่สุดท้ายมันกลายมาเป็น พิษกับผู้ใช้แทน ทางอินเดียก็มีการพูดถึง ‘รสายนะ’ ในคัมภีร์อายุรเวท โดยกล่าวถึงศาสตร์แห่งการฟื้นฟูร่างกาย และจิตใจด้วยการใช้สมุนไพรและอาหารที่ส่งผลต่อสุขภาพ โลกอาหรับสมัยยุคทองของอิสลามก็มีนักปรัชญาและ นักวิทยาศาสตร์ชาวเปอร์เซียที่ชื่ออิบนุซีนาพยายามสกัดยาอายุวัฒนะจากสมุนไพรและยารักษาโรคซึ่งกลายมา เป็นแรงบันดาลใจของการวิจัยการแพทย์สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในยุโรปเองก็มีแนวคิด ‘ศิลานักปราชญ์’ ซึ่งเป็น เหมือนตํานานที่เซอร์นิโคลัส แฟลมเมล และเซอร์ไอแซค นิวตันก็เชื่อว่าหากสร้างศิลาที่ว่านี้ได้ นอกจากมันจะ สามารถเปลี่ยนตะกั่วให้เป็นทอง ก็ยังสามารถผลิตยาอายุวัฒนะที่ผู้ได้ด่ืมกินจะมีชีวิตยืนยาวหรือเป็นอมตะได้ บุคคลสําคัญในอดีตเหล่านี้ล้วนแล้วแต่พยายามไขความลับของจักรวาลและเอาชนะข้อจํากัดทางกายภาพของ มนุษย์กันทั้งสิ้น  

ความเชื่อทางจิตวิญญาณกับอายุขัย  

ถึงแม้ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะชี้ให้เห็นว่ามนุษย์พยายามหาหนทางในการมีชีวิตนิรันดร์มาโดย ตลอด และเทคโนโลยีรวมถึงศาสตร์ชะลอวัยในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าต้องใช้เงินมากขนาดไหนในการยืดชีวิตและ ต้องรักษาคุณภาพชีวิตเอาไว้ในระดับดีด้วย แต่ไม่ได้แปลว่าถ้าคุณไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านั้นได้แล้วคุณ จะไร้ซึ่งโอกาสในการมีอายุที่ยืนยาวไปเลย อันที่จริงแล้วความเชื่อและการปฏิบัติทางจิตวิญญาณมีความ เกี่ยวข้องกับอายุและสุขภาพที่ดีอย่างเห็นได้ชัด เช่น นักบวชที่มีชีวิตเรียบง่ายโดยมุ่งเน้นการฝึกสมาธิ รักษาความ  

สมดุลในชีวิต ใช้ชีวิตแบบสมถะและมิได้ไล่ไขว่คว้าตามความเจริญทางโลก มีกิจวัตรที่มีระเบียบวินัย ตื่นนอน เข้า นอนตามแสงแดด ทําให้ช่วยรักษานาฬิกาชีวิตเอาไว้ได้ ปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยลดความเครียดและโรคเรื้อรังได้ อย่างมีนัยยะสําคัญ มีงานวิจัยจํานวนไม่น้อยที่สนับนสนุนเกี่ยวกับอายุขัยที่ยืนยาวขึ้นของนักบวช เช่น งานวิจัย จากมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นและอินเดียพบว่า นักบวชในบางศาสนา พระสงฆ์ในพุทธศาสนา โยคีในอินเดีย พวกเขา มีอายุเฉลี่ยที่ยืนยาวกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรทั่วไป แม้แต่กลุ่มพระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมในญี่ปุ่น (พระเซ็น) ก็มีอายุ ขัยเฉลี่ยสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 5-10 ปี  

สุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าเราจะไล่ตามไขว่คว้าชีวิตอันเป็นนิรันดร์เพราะอะไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใคร เอาชนะความตายได้ การยอมรับความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจะช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของเวลาและสิ่งที่มี อยู่ตรงหน้า เราอาจไม่สามารถหยุดยั้งความตายได้ แต่เราสามารถจะเลือกใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกวัน เราสามารถ เปลี่ยนแรงปรารถนาที่เรายังใฝ่ฝันจะเป็นอมตะให้กลายเป็นแหล่งพลังงานการสร้างสรรค์ การแบ่งปัน การใช้ชีวิต อย่างมีคุณค่าไม่เพียงแต่เพื่อตัวเองแต่ยังเพื่อคนอื่น และหากเราทําแบบนั้นแล้ว บางทีเราอาจเป็นอมตะได้ในแง่ที่ สิ่งที่เราทําทิ้งไว้ยังอยู่ในโลกใบนี้ ในความทรงจําของใครสักคนถึงแม้เราจะจากไปแล้ว ดังคํากล่าวที่ใครสักคนเคย พูดไว้นานแล้วคนเราจะตายทางกายภาพไม่ใช่จุดจบเดียว แต่การถูกลืมเลือนจากความทรงจํานั้นก็เหมือน เป็นการตายซ้ําอีกครั้งหนึ่ง