การฮีลลิ่งแบบ Naturalism โดยอิงตามธาตุประจำร่างกาย

การฮีลลิ่ง Healing เป็นการบำบัดร่างกายที่เน้นด้านสุขภาพ หากปฏิบัติคู่กับแนวทางของ Naturalism ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่เน้นการใช้ธรรมชาติ โดยเน้นการปรับสมดุลของร่างกายตามธาตุประจำตัว ตามแนวคิดที่มีรากฐานมาจากการแพทย์แผนไทย, การแพทย์แบบอินเดีย หรือที่เรียกว่าอายุรเวท จะทำให้ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ

โดยการแพทย์แผนไทย เชื่อว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ (อายุรเวทอินเดียมีเพิ่มเติมเป็น ธาตุที่ 5 คือ อากาศธาตุ) เพื่อง่ายต่อการจำแนก และความคุ้นเคยของคนไทย ขอกล่าวในหลักการแพทย์แผนไทย มา ณ ที่นี้ โดยการรักษาและการดูแลสุขภาพด้วยการปรับสมดุลของธาตุมีหลักการเบื้องต้น ดังนี้

การดูธาตุประจำร่างกายแบบเดือนเกิด

  • ธาตุดิน: ผู้ที่เกิดในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม 
  • ธาตุน้ำ: ผู้ที่เกิดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 
  • ธาตุลม: ผู้ที่เกิดในเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน 
  • ธาตุไฟ: ผู้ที่เกิดในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม 

การปรับสมดุลธาตุด้วยการบำบัดแบบ Naturalism

การปรับสมดุลธาตุในร่างกายสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเลือกกินอาหารที่เหมาะสมกับธาตุ การออกกำลังกาย การทำสมาธิ และการใช้สมุนไพร แนวคิด Naturalism เชื่อว่าการเยียวยาตนเองโดยเชื่อมโยงกับศาสตร์ที่เอาธรรมชาติเป็นที่ตั้งจะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวและบริบูรณ์ เราสามารถนำหลักการทั้ง 4 อย่างที่กล่าวมาข้างต้นมาปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้

  • การกินอาหารเป็นยา

อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยธาตุที่แตกต่างกัน เช่น ผักใบเขียวมีธาตุน้ำสูง ข้าวกล้องมีธาตุดินสูง เนื้อสัตว์มีธาตุไฟสูง เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ธาตุในอาหารจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการปรับสมดุลธาตุในร่างกาย หากร่างกายขาดธาตุใดธาตุหนึ่ง การรับประทานอาหารที่มีธาตุนั้นเป็นส่วนประกอบหลัก จะช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกายได้

การเลือกอาหารเพื่อปรับสมดุลธาตุ

  • ธาตุดินไม่สมดุล: อาจมีอาการท้องผูก ปากแห้ง ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุดินสูง เช่น ข้าวกล้อง ผักราก
  • ธาตุน้ำไม่สมดุล: อาจมีอาการบวม น้ำหนักตัวเพิ่ม ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุน้ำสูง เช่น ผักใบเขียว ซุป
  • ธาตุไฟไม่สมดุล: อาจมีอาการร้อนใน แผลในปาก ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุน้ำสูง เช่น ผักใบเขียว
  • ธาตุลมไม่สมดุล: อาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ควรรับประทานอาหารที่มีรสหวานและเค็ม
  • การเลือกประเภทของการออกกำลังกายที่เข้ากับตัวเอง

ธาตุดิน: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นความแข็งแรง เช่น โยคะ ปั่นจักรยาน หรือยกน้ำหนักเบาๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและกระดูก

ธาตุน้ำ: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นความยืดหยุ่น เช่น โยคะ ปีกกา หรือการว่ายน้ำ เพื่อช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและลดความตึงเครียด

ธาตุไฟ: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นการเผาผลาญ เช่น การวิ่ง การเต้นแอโรบิก หรือการฝึกความแข็งแรง เพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น

ธาตุลม: เหมาะกับการออกกำลังกายที่เน้นการควบคุมลมหายใจ เช่น ไทเก๊ก หรือการทำสมาธิ เพื่อช่วยให้จิตใจสงบและควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น

  1. การทำสมาธิ ช่วยได้ทุกธาตุ ไม่ว่าจะทำแบบไหนก็ตาม โดยแต่ละธาตุอาจมีวิธีการเริ่มต้นไม่เหมือนกัน 

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุดิน: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นความรู้สึกถึงร่างกาย เช่น การนั่งสมาธิแบบวิปัสสนา หรือการทำสมาธิโดยการกำหนดรู้ลมหายใจ การสัมผัสกับพื้นดิน หรือการนั่งสมาธิในธรรมชาติ จะช่วยให้คนธาตุดินรู้สึกเชื่อมโยงกับโลกภายนอกและสงบลง

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุน้ำ: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นความรู้สึกนึกคิด เช่น การทำสมาธิแบบเมตตา การทำสมาธิโดยการจินตนาการถึงภาพที่สวยงาม หรือการฟังเสียงธรรมชาติ จะช่วยให้คนธาตุน้ำรู้สึกผ่อนคลายและปล่อยวางความคิดที่วนเวียนอยู่

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุไฟ: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นการเคลื่อนไหว เช่น ไทเก๊ก หรือการทำสมาธิแบบเดินจงกรม การทำสมาธิที่เน้นการเคลื่อนไหวจะช่วยให้คนธาตุไฟระบายพลังงานส่วนเกินและสงบจิตใจได้

วิธีการทำสมาธิที่เหมาะกับคนธาตุลม: เหมาะกับการทำสมาธิที่เน้นการจินตนาการ เช่น การทำสมาธิแบบทิเบต หรือการทำสมาธิโดยการ визуализировать (visualize) การทำสมาธิแบบนี้จะช่วยให้คนธาตุลมได้ปล่อยจินตนาการและสงบจิตใจได้

2. การเลือกใช้สมุนไพรที่เหมาะสมกับธาตุประจำตัว (จะให้ดีที่สุดต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของเภสัชกร ซึ่งมีทั้งเภสัชกรในแบบการแพทย์ทางตรงและการแพทย์ทางเลือก)

ธาตุดิน: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสหวาน ช่วยบำรุงธาตุดิน เช่น เห็ดหลินจือ เก๋ากี้ โสม

ธาตุน้ำ: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเค็ม ช่วยบำรุงธาตุน้ำ เช่น หญ้าหวาน ใบเตย

ธาตุไฟ: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว ช่วยดับไฟในร่างกาย เช่น มะขามป้อม มะยม

ธาตุลม: เหมาะกับสมุนไพรที่มีรสเผ็ด ช่วยขับลมในลำไส้ เช่น ขิง ตะไคร้

สมุนไพรแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน การเลือกสมุนไพรที่ตรงกับธาตุที่ขาดจะช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกาย เมื่อสมุนไพรเข้ากับธาตุของเรา จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสรรพคุณของสมุนไพรได้ดีขึ้น และควรระวังไว้เสมอว่า การเลือกสมุนไพรที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ คนที่อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ควรระวังเป็นพิเศษ

ด้วยความเชื่อ ปรัชญา และแนวทางการดำเนินชีวิตของชาว Naturalist หรือปรัชญาแนว Naturalism ที่เน้นการอยู่กับธรรมชาติของตัวเองให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติภายนอกอยู่แล้ว จึงไม่ยากเลยที่จะนำหลักการดี ๆ อย่างการปรับพฤติกรรมตามธาตุประจำตัวไปใช้ นอกจากจะส่งเสริมให้สุขภาพดีแล้ว การศึกษาหลักการแพทย์แผนไทย อินเดีย หรือการแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ ที่ลึกซึ้งขึ้น มีความเป็นวิทยาศาสตร์สุขภาพมากขึ้น จะทำให้องค์ความรู้และปรัชญาที่ผสมผสานได้ถูกยอมรับและถ่ายทอดไปในวงกว้างได้อีกด้วย

เพิ่ม Self esteem ตามแนวทางชาว Naturalism

“Naturalism” แปลตรงตัวเลยนั่นก็คือ “ธรรมชาตินิยม” เป็นแนวคิดที่เน้นเรื่องพลังงานตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในทุกสรรพสิ่งบนโลกและนอกโลก รวมถึงพลังงานภายในตัวมนุษย์ด้วย

ธรรมชาตินิยม เป็นทฤษฎีเท่านั้น ไม่ใช่ลัทธิ เพราะไม่ได้เชื่อในผู้สร้าง เทพ หรือต้องมีรูปเคารพอะไรใด ๆ

กล่าวคือ “Naturalism” เป็นแนวคิด ทฤษฎี ที่อธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบนพื้นฐานแห่งกฏธรรมชาติ ตามทัศนะหนึ่งที่แตกต่างออกไปจากแนวคิดเดิมของมนุษย์ที่มีการนับถือผี-เทวดา สิ่งเหนือธรรมชาติ และตามทัศนะดังกล่าว มีการชูแก่นของแนวคิดที่ว่า “ธรรมชาติ” คือความจริงสูงสุด ธรรมชาติย่อมอธิบายได้โดยวิถีทางแห่งการเคลื่อนไหวและพลังงาน ยกตัวอย่างแนวคิดที่เห็นภาพมากขึ้นว่า Naturalism ไม่ใช่ลัทธิใด เช่น คำกล่าวที่ว่า “ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติย่อมเกิดขึ้นเพราะมีการเคลื่อนไหวและกระแสคลื่นแห่งไฟฟ้า” การที่ถูกอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ที่เน้นการพิสูจน์ได้เป็นหลัก จึงมีการเรียกหลักการนี้ว่า “ปรัชญาสัจนิยม” (Realism) ด้วยเช่นกัน 

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า Naturalism และ Realism เป็นแนวคิดสองชื่อเรียกที่มีหลักการและแนวทางปฏิบัติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ธรรมชาตินิยม- Naturalism เชื่อว่า…

  • ทุกสิ่งมีพลังงานในตัว (Self – activating) 
  • ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง (Self – existent) 
  • มีทุกอย่างในตัวเอง (Self – contained) 
  • อาศัยตัวเอง (Self – dependent) 
  • ปฏิบัติการได้ด้วยตนเอง (Self – operating) 
  • มีเหตุผลในตัวของมันเอง (Self – explanatory)

จากตอนแรกที่อธิบายบว่า Naturalism เป็นทัศนะที่ไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ (Anti – supernaturalistic) นั่นคือ การเชื่อว่าปรากฏการณ์ทุก ๆ อย่างเป็นไปตามสภาวะความเกี่ยวพันที่มีต่อกันของเหตุการณ์ทางธรรมชาตินั้น ๆ เอง ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจเหนือธรรมชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นกระบวนการธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง เพราะความประจวบเหมาะด้วยสถานที่ รูปการณ์ และเวลา กล่าวคือธรรมชาตินี้มีโครงสร้างของตนเอง และโครงสร้างนั้นเกิดขึ้นได้เอง ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอำนาจเหนือธรรมชาติ

คีย์เวิร์ดที่สำคัญต่อการเข้าใจแนวคิด Naturalism ได้แก่ ความนิยมวิทยาศาสตร์ (Prescientific) แต่นอกจากสิ่งทั้งหลายที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ณ ปัจจุบันแล้ว Naturalism ยังเชื่อในหลักการของพลังงานที่เป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดปัญญา (Intuition) อีกด้วย ซึ่งปัญญา ก็สามารถอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้แล้ว ด้วยหลักการทางด้านควอนตัม เป็นต้น

Naturalism เชื่อว่า “จิตใจ”และสภาวะของจิตใจ ล้วนเป็นปรากฏการณ์ของสมอง ถูกควบคุมด้วยกฎกลศาสตร์ ทางฟิสิกส์ ไม่มีอำนาจริเริ่มด้วยเทพใดดลใจ และจิตใจนั้นก็มีเสรีภาพในตัวเอง ซึ่งในบาสงกลุ่มของผู้ที่มีแนวคิดด้าน Naturalism ก็ต่อต้านการมีอยู่ของการนับถือศาสนาและเรื่องลี้ลับ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีกลุ่มที่เห็นประโยชน์ด้านดีของศาสนา และประนีประนอมในการปรับตัวให้เข้ากับคนกลุ่มอื่นที่ยังนับถือศาสนาและเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องอ่อนไหวและซับซ้อน แต่ละบุคคลมีนิยามในด้านของ Naturalism ที่ต่างกันออกไป จึงทำให้คำเรียก คำนิยามทางการ และความเข้าใจในมุมมองของคนภายนอกที่มองต่อชาว Naturalism มีความแตกต่างกัน

การพัฒนา self esteem ควบคู่ไปกับแนวคิด Naturalism

 self esteem เป็นศัพท์ที่เกี่ยวกับจิตวิทยา แปลได้ว่าเป็น “การเห็นคุณค่าในตัวเอง” หรือไม่ก็ “การนับถือตนเอง” เป็นเรื่องของทัศนคติที่มีต่อตนเองโดยภาพรวม เป็นสภาวะอารมณ์ภายในจิตใจและมุมมองของคนคนนั้นที่มีต่อตัวเอง 

คุณค่าและการนับถือตนเอง คือการสร้างความหมายและนิยามของตนเองที่เป็นส่วนบุคคล มีความเฉพาะตัว และไม่สามารถกำหนดคุณค่าและความนับถือตนเองแทนกันได้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นเห็นอย่างชัดเจน หรือต้องเห็นสอดคล้องเหมือนกับตัวเรา เช่น การมีความแน่วแน่ในความคิดของตัวเอง ชื่นชมตัวเอง และแน่ใจว่าตัวเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร จึงไม่จำเป็นต้องคล้อยตามคนอื่นทุกเรื่อง เป็นต้น

นอกจากนี้ยังคาบเกี่ยวกับเรื่องทักษะและความสามารถของแต่ละบุคคลด้วย  เช่น ผู้ที่มั่นใจในตัวเอง อาจมั่นใจในแง่ที่มาจากความถนัดในทักษะหรือความสามารถด้านใดด้านหนึ่งก็ได้ เช่น ความสามารถในการวาดภาพ การคำนวณ หรือทักษะด้านความแข็งแรงของร่างกาย เป็นต้น

ผู้ที่มี self esteem ใจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ในระดับที่เรียกได้ว่า “มีจุดยืนของตัวเอง” มีอิสระในแนวคิดและการแสดงออก ซึ่งชาว Naturalism มีความชัดเจนในเรื่องนี้ ดังนั้นชาว Naturalism จึงมีจุดแข็งในด้านการรู้จักตนเอง และปรับใช้เพื่อการมีจุดยืนที่สามารถเข้ากลุ่มไปกับสังคมมวลรวมได้ การมี Self-esteem ในระดับที่เพียงพอจะเห็นได้ชัดว่า คนคนนั้นสามารถเคารพความเป็นตัวตนของผู้อื่นได้อย่างสบาย ไม่ฝืนทำ และเป็นธรรมชาติ ดังนั้นจุดเด่นในด้านการพัฒนา self esteem ควบคู่ไปกับการศึกษาแนวคิด Naturalism จึงช่วยให้สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพกับผู้คนรอบข้างได้ ภายใต้พื้นฐานของการรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้ง มีเหตุมีผล เน้นการอธิบายให้เข้าใจ และปล่อยพื้นที่ให้แต่ละคนได้ตกตะกอนทางความคิด และไม่ได้เกิดการครอบงำบงการ ที่ใช้ความกลัวในสิ่งที่อธิบายไม่ได้มาเป็นเครื่องมือนั่นเอง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเกริ่นนำให้เข้าใจความเชื่อมโยงในเบื้องต้นเท่านั้น หากแต่แก่นสำคัญของ Naturalism ที่นำไปใช้พัฒนา Self esteem ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ยังไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างเจาะลึกในบทความนี้ จึงอยากให้ทุกคนได้ติดตามบทความอื่น ๆ ในเว็บไซต์และกลุ่มของเรา เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาตนเองต่อไป